เทคนิคการถ่ายภาพเคลื่อนไหว
....การถ่ายภาพเคลื่อนไหวสามารถนำมาใช้ในการถ่ายภาพกีฬา คน สัตว์ วัตถุใดๆ ที่เคลื่อนไหว เทคนิคการถ่ายภาพเคลื่อนไหวเช่นภาพที่จับการเคลื่อนไหวให้หยุดนิ่งการถ่ายภาพประเภทนี้ สิ่งสำคัญก็คือจะต้องเลือกใช้ความไวชัตเตอร์ให้เหมาะสมเพื่อจับภาพการเคลื่อนไหวให้หยุดนิ่ง การใช้ความไวชัตเตอร์มีปัจจัยสามประการที่ต้องพิจารณาคือ ความเร็วของวัตถุ ระยะทางจากกล้องถึงวัตถุ ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุวัตถุเคลื่อนที่เร็วใช้ความเร็วชัตเตอร์มากกว่าวัตถุเคลื่อนที่ช้า(ทิศทางเดียวกัน ระยะทางเท่ากัน)วัตถุเคลื่อนที่ระยะใกล้ใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงกว่าวัตถุในระยะไกลออกไป(ความเร็วเท่ากัน ทิศทางเดียวกัน) สำหรับการเคลื่อนที่หากเคลื่อนที่ผ่านหน้ากล้องจะต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงกว่าทิศทางอื่นๆ ส่วนทิศทางการเคลื่อนที่เข้าหรืออกจากตัวกล้อง สามารถใช้ความเร็วชัตเตอร์ปานกลางถึงต่ำภาพที่แสดงลีลาการเคลื่อนไหวลักษณะของภาพประเภทนี้ จะมีส่วนที่มีความคมชัดกับพร่ามัวรวมอยู่ในภาพ แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวและความเร็วชัตเตอร์ที่ใช้สามารถใช้ได้ค่อนข้างกว้างมาก ขึ้นอยู่กับผู้ถ่ายเองว่าจะต้องการภาพที่คมชัดหรือพร่ามัวมากน้อยแค่ไหนหากใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำมากๆความพร่ามัวจะยิ่งมากขึ้นการใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ จะทำให้ภาพพร่ามัว แสดงถึงการเคลื่อนไหวของวัตถุ และอาจใช้แฟลชร่วมได้การแพนกล้องหรือการส่ายกล้องตามการเคลื่อนที่ของวัตถุ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่นิยมนำมาใช้ โดยผลของการใช้จะทำให้วัตถุหยุดนิ่ง เช่น ฉากหน้าหรือฉากหลังพร่ามัว ส่วนวัตถุที่มีการเคลื่อนไหวจะคมชัด(ถ้าโฟกัสถูกต้อง) ข้อสำคัญคือจะต้องแพนกล้องตามการเคลื่อนที่จนถึงตำแหน่งที่ต้องการและในขณะกดชัตเตอร์ต้องแพนกล้องตามในขณะที่กล้องบันทึกภาพด้วย เพราะการหยุดการแพนกล้องในขณะกดชัตเตอร์จะทำให้ได้ภาพพร่ามัวเพียงอย่างเดียวการแพนกล้องที่ดี คือ จากซ้ายไปขวา ความเร็วชัตเตอร์ใช้ได้ตั้งแต่ความไวปานกลางถึงต่ำมากนอกจากนี้ยังสามารถใช้เลนส์ซูม ซูมภาพในขณะที่กดชัตเตอร์ ภาพจะมีลักษณะพุ่งเข้าหากล้องแต่จริงๆแล้ววัตถุอยู่กับที่เคล็ดลับนี้ค้นมาจากหนังสือ 108 เทคนิคการสร้าสรรค์ภาพ โดยคุณประสิทธิ์ จันเสรีกรเนื่องมาจากการเปลี่ยนทางยาวโฟกัส และอีกวิธีคือการใช้แฟลชร่วมกับความเร็วชัตเตอร์ต่ำ(1/8วินาที หรือต่ำกว่า)ภาพที่ได้จะมีความคมชัดผสมพร่ามัว
....... "การถ่ายภาพ
ค้นหาบล็อกนี้
คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับ blog นี้???
วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554
หลักการถ่ายภาพขนาดเล็ก
หลักการถ่ายภาพขนาดเล็ก (Macro)
...."ภาพมาโคร (Macro) หรือภาพโคลสอัพ (Closed Up)หมายถึง การถ่ายภาพตัวแบบอะไรก็ได้ ที่ใกล้ๆเพื่อแสดงให้เห็นรายละเอียดของสิ่งนั้นผมเก็บเรื่องราวจากประสบการณ์ที่ฝึกการถ่ายภาพมาโครมาเล่าให้ฟังเพื่อให้น้องๆ ได้เก็บนำไปประยุกต์ใช้สำหรับการฝึกถ่ายภาพได้ง่ายขึ้น และมีวิธีการฝึกมากขึ้นมีรายละเอียดดังนี้..
1.หาตัวแบบที่น่าสนใจ เช่น แมงปอ ที่มีสีสันสวยงาม ผีเสื้อสายพันธ์ที่แปลกตา แมลงที่หน้าตาประหลาดๆ ดอกไม้สวยๆ ใบไม้ที่มีรูปร่างโดดเด่น ฯลฯ
ถ้าตัวแบบแปลกๆหรือแตกต่างออกไปจะทำให้ภาพนั้นดูน่าสนใจมากขึ้น อย่าถ่ายแต่ผีเสื้อในสวนรถไฟ ทั้ง 10 ครั้งเพราะนั่นก็เป็นเพียงผีเสื้อในสวนรถไฟ ครั้งที่ 10 ให้ไปถ่ายที่สวนหลวงร.9 บ้าง นั่นจะทำให้ครั้งที่10 ภาพไม่เหมือนกับครั้งที่ 1-9
2.การวางตำแหน่งตัวแบบ เราต้องวางตัวแบบตามหลักการถ่ายภาพเช่น วางบนจุดตัด 9 ช่อง กฎ 3 ส่วน หรือกฎอื่นๆ
ที่นิยมนำมาใช้ในการถ่ายภาพกฏต่างๆที่นิยมนำมาใช้ คนคิดค้น จะคิดคำนวนมาแล้ว ว่าหากทำตามแบบอย่างจะทำให้ภาพดูดีขึ้น อย่าคิดเอาเอง เพราะเรายังไม่มีประสบการณ์มากพอ ควรนำกฎต่างๆ มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์และตัวแบบที่เราเลือกถ่าย
3.ควบคุมโฟกัสให้ได้
ภาพมาโครยิ่งถ่ายใกล้ จะยิ่งมีระยะชัดลึกน้อยมากการคุมโฟกัสให้แม่นยำ เป็นไปได้ยาก เราต้องฝึกฝน หาอุปกรณ์หรือการเตรียมการที่ดีมาช่วย เช่น ใช้ขาตั้งกล้อง สายลั่นชัตเตอร์ หรืออุปกรณ์เสริมอื่นๆก่อนถ่ายดูเรื่องแสง ดูความไวชัตเตอร์ให้สัมพันธ์กันกับทางยาวโฟกัสตามกฎ 1 :1คิดง่ายๆหากความไวชัตเตอร์ต่ำกว่า 1/100s แล้วถ่ายด้วยมือเปล่า โอกาสที่จะให้ภาพออกมาชัดก็น้อย ถึงน้อยมาก
4.ควบคุมความชัดลึก ภาพมาโครที่สวยๆ อาจต้องการความชัดลึกทั้งภาพ หรือไม่ต้องมีความชัดลึกตลอดทั้งภาพก็ได้ บางทีการเบลอบางส่วนของภาพเหมือนเป็นการปกปิดซ่อนเร้นกลับทำให้น่าติดตาม หรือน่าค้นหายิ่งขึ้นไปอีก การควบคุมความชัดลึกนั้นทำได้ด้วยการปรับรูรับแสง เมื่อปรับรูรับแสงแคบลง(ตัวเลขสูงๆ)จะทำให้ความชัดลึกมากขึ้น ถ้าปรับรูรับแสงกว้าง(ตัวเลขน้อยลง)จะทำให้ชัดตื้นขึ้น
5.กำจัดความรกของฉากหลัง
เราต้องสร้างความโดดเด่นให้ตัวแบบโดยการกำจัดฉากหลังที่ดูรกตาออกไปหาฉากหลังที่อยู่ห่างตัวแบบ แล้วทำให้เบลอทำให้สีทึบขึ้น(ฉากหลังดำ) หรือแทนที่ด้วยสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น โบเก้สีสันที่แตกต่าง หรือสีสันที่ตัดกันกับตัวแบบ ฯลฯ
6.เสริมมุมมองและองค์ประกอบของภาพ ด้วยการนำส่วนประกอบอื่นในภาพมาใช้เช่น เส้นนำสายตา การใช้โทนสี
ภาพมาโครควรเน้นสีสันสดใสจะทำให้น่าชม(ไม่ใช่ทึมๆแบบมาโครหดหู่) นำสิ่งแวดล้อมมาใช้ให้เป็นประโยชน์(บรรยากาศ เวลา)การใส่กรอบให้ภาพ ฯลฯ
7.แสงเงาและความเปรียบต่างของแสง
หากในภาพมีความสว่าง ความมืด ที่ต่างกันหรือมีเงาอยู่ในภาพ จะทำให้ภาพนั้นดูดีกว่าภาพปกติทั่วไปขึ้นมาทันที
8.หาสถานการณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
ถ้าภาพนั้นมีสถานการณ์เข้ามามีส่วนร่วมจะทำภาพน่าสนใจยิ่งขึ้น เช่น ถ่ายผีเสื้อกำลังผสมพันธ์ซึ่งน่าจะมีความน่าสนใจมากกว่าผีเสื้อตัวเดียวธรรมดา การล่าเหยื่อของแมลงที่เป็นไปตามธรรมชาติจะทำให้ภาพน่าดูน่าติดตามหรือตื่นเต้นมากขึ้น ถ่ายภาพดอกบัวถ้ามีผึ้งมาเกาะหรือบินอยู่ด้วยจะทำให้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ฯลฯ
9.ถ่ายภาพหลายๆแบบ
ตัวแบบบางชนิดเราอาจมีโอกาสพบเห็นน้อย กว่าจะพบเห็นอีกก็ต้องใช้เวลานานๆอย่างเห็ดแชมเปญ เห็ดถ้วยให้ถ่ายหลายๆแบบ หลายๆมุม หลายๆวิธีการ เช่น ชัดตื้น ชัดลึก มุมก้ม มุมเงย ย้อนแสง ใช้แฟลต เงาดำหรือโครงทึบ ฯลฯชนิดที่ว่าไม่พบเจอกันอีกก็ไม่ต้องเสียดายอีกเลย(เพราะหนำใจแล้ว)
ส่วนเพิ่มเติม
รักในการถ่ายภาพ หากรักหรือมีใจให้ เราจะมีความสุขในการถ่ายภาพและมีความมุ่งมั่นในการถ่ายภาพมากขึ้น แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ก็มีความสุขมีเรี่ยวแรงในการก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป..อย่าท้อถอย ไม่มีใครเก่งมาแต่กำเนิด เกิดมาแล้วมี S 5 PRO คล้องคอมาด้วยทุกคนทุกคนมีจุดเริ่มต้น จะไปเร็วไปช้า อยู่ที่ความมานะ ขยัน อดทน การทำสิ่งใดบ่อยๆจะนำมาซึ่งความชำนาญ ทำให้มีประสบการณ์ และพร้อมรับมือกับสิ่งที่เราพบเจอสามารถบันทึกเรื่องราว(ที่อาจจะเห็นครั้งเดียวในชีวิต)เหล่านั้นไว้ได้ จงสู้ต่อไปวันหนึ่งเราต้องไปให้ถึงจุดหมาย..
ค้นหาตัวเองให้เจอ พอถ่ายภาพไปได้สักระยะหนึ่ง เราจะรู้ว่าเราชอบถ่ายภาพแนวไหนแล้วก็ฝึกฝนแนวทางนั้นให้ดีที่สุดก่อน ไม่มีใครเก่งทุกด้าน อยู่ที่ความชอบ เวลา โอกาสและความถนัด หากหาแนวทางของตัวเองไม่ได้แล้วเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายใดๆวันหนึ่งเราก็จะสับสน และรู้สึกเหมือนหลงทาง ไม่รู้จะเลือกไปทางใด และเอาดีไม่ได้สักอย่างจงเลือกทำตามที่เราชอบเราถนัดสักแนวทางหนึ่งก่อน หากมีเวลาค่อยฝึกแนวอื่นให้ดียิ่งขึ้น
อย่าให้เป็นเพียงแค่ความคิด หากคุณดูภาพ แมงปอสุดยอด ที่ถ่ายโดย คนบางปะอินแล้วบอกกับตัวเองว่า โธ่เอ๊ย..มันเป็นภาพง่ายๆ ฉันก็ถ่ายได้ แต่ก็ไม่เคยออกไปถ่ายสักครั้งความคิดก็ยังเป็นแค่ความคิด ไม่ได้เป็นไฟล์ *.jpg ไม่สามารถนำมาโพสท์ได้ ไม่มีใครได้เห็นหากคิดอย่างเดียว คุณก็ไม่มีวันทำแบบนั้นได้ ไม่ว่าจะง่ายเพียงใดก็ตาม เพราะฉะนั้น..จงหยิบกล้องมาไว้ในมือ แบกกะเป๋าขึ้นบ่า แล้วก้าวเดินออกไป..
อย่าทำตามใคร ทุกคนคงมีช่างภาพในดวงใจ แต่ทว่าการก้าวไปให้ถึงเขาคงจะยากทั้งนี้ทั้งนั้นจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ วันเวลา และพรสวรรค์ หากวันหนึ่งเราก้าวเดินไปถึงเขา เราก็เป็นเพียงก็อปปี้ของเขาเท่านั้น จงทำในสิ่งที่เราถนัด เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ สักวันทุกคนอาจรู้จักเราในอีกฐานะหนึ่ง ที่ต่างจากวันนี้..
จงเชื่อมั่นในตนเอง ขอให้คุณเชื่อในสิ่งที่คุณทำ ทุกคนมีพลังสร้างสรรค์ในตัวเอง ซึ่งเป็นสัณชาตญานของมนุษย์อยู่แล้ว อย่าให้ความเชื่ออื่นๆมาทำลายพลังนั้นลงไป หรือเก็บกด-มันไว้ จงเค้นพลังนั้นๆออกมา แต่ละคนต้องมีภาพที่ถ่ายโดยที่ไม่เหมือนภาพของคนอื่นจงภูมิใจกับภาพนั้นๆ เชื่อว่ามันต้องเป็นภาพเดียวในโลก ที่สร้างสรรค์ผลงานโดยตัวเราเอง..
...."ภาพมาโคร (Macro) หรือภาพโคลสอัพ (Closed Up)หมายถึง การถ่ายภาพตัวแบบอะไรก็ได้ ที่ใกล้ๆเพื่อแสดงให้เห็นรายละเอียดของสิ่งนั้นผมเก็บเรื่องราวจากประสบการณ์ที่ฝึกการถ่ายภาพมาโครมาเล่าให้ฟังเพื่อให้น้องๆ ได้เก็บนำไปประยุกต์ใช้สำหรับการฝึกถ่ายภาพได้ง่ายขึ้น และมีวิธีการฝึกมากขึ้นมีรายละเอียดดังนี้..
1.หาตัวแบบที่น่าสนใจ เช่น แมงปอ ที่มีสีสันสวยงาม ผีเสื้อสายพันธ์ที่แปลกตา แมลงที่หน้าตาประหลาดๆ ดอกไม้สวยๆ ใบไม้ที่มีรูปร่างโดดเด่น ฯลฯ
ถ้าตัวแบบแปลกๆหรือแตกต่างออกไปจะทำให้ภาพนั้นดูน่าสนใจมากขึ้น อย่าถ่ายแต่ผีเสื้อในสวนรถไฟ ทั้ง 10 ครั้งเพราะนั่นก็เป็นเพียงผีเสื้อในสวนรถไฟ ครั้งที่ 10 ให้ไปถ่ายที่สวนหลวงร.9 บ้าง นั่นจะทำให้ครั้งที่10 ภาพไม่เหมือนกับครั้งที่ 1-9
2.การวางตำแหน่งตัวแบบ เราต้องวางตัวแบบตามหลักการถ่ายภาพเช่น วางบนจุดตัด 9 ช่อง กฎ 3 ส่วน หรือกฎอื่นๆ
ที่นิยมนำมาใช้ในการถ่ายภาพกฏต่างๆที่นิยมนำมาใช้ คนคิดค้น จะคิดคำนวนมาแล้ว ว่าหากทำตามแบบอย่างจะทำให้ภาพดูดีขึ้น อย่าคิดเอาเอง เพราะเรายังไม่มีประสบการณ์มากพอ ควรนำกฎต่างๆ มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์และตัวแบบที่เราเลือกถ่าย
3.ควบคุมโฟกัสให้ได้
ภาพมาโครยิ่งถ่ายใกล้ จะยิ่งมีระยะชัดลึกน้อยมากการคุมโฟกัสให้แม่นยำ เป็นไปได้ยาก เราต้องฝึกฝน หาอุปกรณ์หรือการเตรียมการที่ดีมาช่วย เช่น ใช้ขาตั้งกล้อง สายลั่นชัตเตอร์ หรืออุปกรณ์เสริมอื่นๆก่อนถ่ายดูเรื่องแสง ดูความไวชัตเตอร์ให้สัมพันธ์กันกับทางยาวโฟกัสตามกฎ 1 :1คิดง่ายๆหากความไวชัตเตอร์ต่ำกว่า 1/100s แล้วถ่ายด้วยมือเปล่า โอกาสที่จะให้ภาพออกมาชัดก็น้อย ถึงน้อยมาก
4.ควบคุมความชัดลึก ภาพมาโครที่สวยๆ อาจต้องการความชัดลึกทั้งภาพ หรือไม่ต้องมีความชัดลึกตลอดทั้งภาพก็ได้ บางทีการเบลอบางส่วนของภาพเหมือนเป็นการปกปิดซ่อนเร้นกลับทำให้น่าติดตาม หรือน่าค้นหายิ่งขึ้นไปอีก การควบคุมความชัดลึกนั้นทำได้ด้วยการปรับรูรับแสง เมื่อปรับรูรับแสงแคบลง(ตัวเลขสูงๆ)จะทำให้ความชัดลึกมากขึ้น ถ้าปรับรูรับแสงกว้าง(ตัวเลขน้อยลง)จะทำให้ชัดตื้นขึ้น
5.กำจัดความรกของฉากหลัง
เราต้องสร้างความโดดเด่นให้ตัวแบบโดยการกำจัดฉากหลังที่ดูรกตาออกไปหาฉากหลังที่อยู่ห่างตัวแบบ แล้วทำให้เบลอทำให้สีทึบขึ้น(ฉากหลังดำ) หรือแทนที่ด้วยสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น โบเก้สีสันที่แตกต่าง หรือสีสันที่ตัดกันกับตัวแบบ ฯลฯ
6.เสริมมุมมองและองค์ประกอบของภาพ ด้วยการนำส่วนประกอบอื่นในภาพมาใช้เช่น เส้นนำสายตา การใช้โทนสี
ภาพมาโครควรเน้นสีสันสดใสจะทำให้น่าชม(ไม่ใช่ทึมๆแบบมาโครหดหู่) นำสิ่งแวดล้อมมาใช้ให้เป็นประโยชน์(บรรยากาศ เวลา)การใส่กรอบให้ภาพ ฯลฯ
7.แสงเงาและความเปรียบต่างของแสง
หากในภาพมีความสว่าง ความมืด ที่ต่างกันหรือมีเงาอยู่ในภาพ จะทำให้ภาพนั้นดูดีกว่าภาพปกติทั่วไปขึ้นมาทันที
8.หาสถานการณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
ถ้าภาพนั้นมีสถานการณ์เข้ามามีส่วนร่วมจะทำภาพน่าสนใจยิ่งขึ้น เช่น ถ่ายผีเสื้อกำลังผสมพันธ์ซึ่งน่าจะมีความน่าสนใจมากกว่าผีเสื้อตัวเดียวธรรมดา การล่าเหยื่อของแมลงที่เป็นไปตามธรรมชาติจะทำให้ภาพน่าดูน่าติดตามหรือตื่นเต้นมากขึ้น ถ่ายภาพดอกบัวถ้ามีผึ้งมาเกาะหรือบินอยู่ด้วยจะทำให้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ฯลฯ
9.ถ่ายภาพหลายๆแบบ
ตัวแบบบางชนิดเราอาจมีโอกาสพบเห็นน้อย กว่าจะพบเห็นอีกก็ต้องใช้เวลานานๆอย่างเห็ดแชมเปญ เห็ดถ้วยให้ถ่ายหลายๆแบบ หลายๆมุม หลายๆวิธีการ เช่น ชัดตื้น ชัดลึก มุมก้ม มุมเงย ย้อนแสง ใช้แฟลต เงาดำหรือโครงทึบ ฯลฯชนิดที่ว่าไม่พบเจอกันอีกก็ไม่ต้องเสียดายอีกเลย(เพราะหนำใจแล้ว)
ส่วนเพิ่มเติม
รักในการถ่ายภาพ หากรักหรือมีใจให้ เราจะมีความสุขในการถ่ายภาพและมีความมุ่งมั่นในการถ่ายภาพมากขึ้น แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ก็มีความสุขมีเรี่ยวแรงในการก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป..อย่าท้อถอย ไม่มีใครเก่งมาแต่กำเนิด เกิดมาแล้วมี S 5 PRO คล้องคอมาด้วยทุกคนทุกคนมีจุดเริ่มต้น จะไปเร็วไปช้า อยู่ที่ความมานะ ขยัน อดทน การทำสิ่งใดบ่อยๆจะนำมาซึ่งความชำนาญ ทำให้มีประสบการณ์ และพร้อมรับมือกับสิ่งที่เราพบเจอสามารถบันทึกเรื่องราว(ที่อาจจะเห็นครั้งเดียวในชีวิต)เหล่านั้นไว้ได้ จงสู้ต่อไปวันหนึ่งเราต้องไปให้ถึงจุดหมาย..
ค้นหาตัวเองให้เจอ พอถ่ายภาพไปได้สักระยะหนึ่ง เราจะรู้ว่าเราชอบถ่ายภาพแนวไหนแล้วก็ฝึกฝนแนวทางนั้นให้ดีที่สุดก่อน ไม่มีใครเก่งทุกด้าน อยู่ที่ความชอบ เวลา โอกาสและความถนัด หากหาแนวทางของตัวเองไม่ได้แล้วเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายใดๆวันหนึ่งเราก็จะสับสน และรู้สึกเหมือนหลงทาง ไม่รู้จะเลือกไปทางใด และเอาดีไม่ได้สักอย่างจงเลือกทำตามที่เราชอบเราถนัดสักแนวทางหนึ่งก่อน หากมีเวลาค่อยฝึกแนวอื่นให้ดียิ่งขึ้น
อย่าให้เป็นเพียงแค่ความคิด หากคุณดูภาพ แมงปอสุดยอด ที่ถ่ายโดย คนบางปะอินแล้วบอกกับตัวเองว่า โธ่เอ๊ย..มันเป็นภาพง่ายๆ ฉันก็ถ่ายได้ แต่ก็ไม่เคยออกไปถ่ายสักครั้งความคิดก็ยังเป็นแค่ความคิด ไม่ได้เป็นไฟล์ *.jpg ไม่สามารถนำมาโพสท์ได้ ไม่มีใครได้เห็นหากคิดอย่างเดียว คุณก็ไม่มีวันทำแบบนั้นได้ ไม่ว่าจะง่ายเพียงใดก็ตาม เพราะฉะนั้น..จงหยิบกล้องมาไว้ในมือ แบกกะเป๋าขึ้นบ่า แล้วก้าวเดินออกไป..
อย่าทำตามใคร ทุกคนคงมีช่างภาพในดวงใจ แต่ทว่าการก้าวไปให้ถึงเขาคงจะยากทั้งนี้ทั้งนั้นจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ วันเวลา และพรสวรรค์ หากวันหนึ่งเราก้าวเดินไปถึงเขา เราก็เป็นเพียงก็อปปี้ของเขาเท่านั้น จงทำในสิ่งที่เราถนัด เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ สักวันทุกคนอาจรู้จักเราในอีกฐานะหนึ่ง ที่ต่างจากวันนี้..
จงเชื่อมั่นในตนเอง ขอให้คุณเชื่อในสิ่งที่คุณทำ ทุกคนมีพลังสร้างสรรค์ในตัวเอง ซึ่งเป็นสัณชาตญานของมนุษย์อยู่แล้ว อย่าให้ความเชื่ออื่นๆมาทำลายพลังนั้นลงไป หรือเก็บกด-มันไว้ จงเค้นพลังนั้นๆออกมา แต่ละคนต้องมีภาพที่ถ่ายโดยที่ไม่เหมือนภาพของคนอื่นจงภูมิใจกับภาพนั้นๆ เชื่อว่ามันต้องเป็นภาพเดียวในโลก ที่สร้างสรรค์ผลงานโดยตัวเราเอง..
วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554
หลักการถ่ายภาพวัตถุชัดให้ฉากหลังเบลอ
หน้าชัดหลังเบลอ ทำไง?
หลาย ๆ ท่านที่ใช้กล้อง compact digital อยากจะถ่ายรูปหน้าชัดหลังเบลอ แต่ทำค่อนข้างยาก จึงขอแนะนำหลักการในการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอซักนิดครับ
1 ใช้ซูมให้มากที่สุด (อาจใช้มาโครช่วยอีกทาง)
2 ระยะกล้องกับแบบใกล้ที่สุด (ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาแบบเพื่อจัดองค์ประกอบภาพ)
3 ระยะระหว่างแบบกับฉากหลังต้องห่างกันให้มากที่สุด4 ใช้ขนาดรูรับแสงให้กว้างที่สุด (เลขน้อย ๆ )
Nice to know : ผู้ผลิตนิยมบอกทางยาวโฟกัสของเลนส์ของกล้องดิจิตอลคอมแพค เป็นค่าทางยาวโฟกัส ที่เทียบเท่ากับของเลนส์กล้องฟิล์ม 35 มม. เช่น บอกว่าเลนส์มีทางยาวโฟกัสเทียบเท่า 35-105 มม. ในขณะที่มีค่าทางยาวโฟกัสจริงของเลนส์เท่ากับ 7.1-21.3 มม. (3X) ทั้งนี้เพื่อบอกค่าองศารับภาพที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยอยู่แล้วกับเลนส์ของกล้องฟิล์ม 35 มม. จะทำให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายกว่า แต่เมื่อพิจารณาค่าช่วงระยะชัด (depth of field) คงต้องถือตามค่าทางยาวโฟกัสจริงของเลนส์ ดังนั้นปัญหาที่หลายคนบ่นกันเมื่อใช้กล้องดิจิตอลคอมแพคในการถ่ายภาพบุคคลแล้วฉากหลงไม่เบลอสะใจ เนื่องจากช่วงทางยาวโฟกัสจริงของเลนส์เหล่านี้ จะให้ช่วงระยะชัดที่กว้างมาก แม้จะเป็นช่วงรูรับแสงกว้างสุดก็ตาม ในกรณีนี้เลนส์ที่มีช่วงทางยาวโฟกัสมาก (ช่วงซูมมาก) จะได้เปรียบกว่า โดยเฉพาะเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสจริง ประมาณ 50 มม.
จาก PhotoTech ฉบับที่ 133 หน้า 64
หลักการถ่ายภาพ กลางคืน
การถ่ายภาพกลางคืน (NIGHT LIGHT)
หรือการถ่ายภาพไฟกลางคืนที่สวยงาม จะได้ภาพที่แปลกตา การถ่ายภาพเวลากลางคืน ได้แก่ การถ่ายภาพที่อาศัยแสงสว่างจากไฟฟ้าตามท้องถนน ป้ายนีออนโฆษณา น้ำพุ การยิงพลุ ห้องโชว์สินค้า ไฟประดับในวันเฉลิมฉลองต่าง ๆ แสงไฟจากรถยนต์ แสงเทียน สายฟ้าแลบ ดวงจันทร์ และดวงดาวบนท้องฟ้า ความสวยงามต่าง ๆ ที่เราสามารถมองเห็นได้ในเวลาค่ำคืนดังกล่าว เรา สามารถบันทึกภาพที่งดงามเหล่านั้นด้วยกล้องถ่ายภาพได้เช่นเดียวกับการถ่ายภาพในเวลากลางวัน การถ่ายภาพที่น่าสนใจอีกแบบหนึ่ง คือการถ่ายภาพตอนหลังดวงอาทิตย์ตกจนถึงตอนกลางคืน เช่นถ่าย ภาพไฟบนท้องถนน ไฟจากหน้าต่างของโรงแรมใหญ่ ๆ การถ่ายรูปดวงจันทร์วันเพ็ญ หรือการถ่ายภาพ ดอกไม้ไฟและพลุสีสวยสดใสงานรื่นเริงหรืองานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ตลอดจนการแสดงตอนกลางคืน
เทคนิคและการถ่ายภาพตอนกลางคืน
การถ่ายภาพกลางคืนไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นจนเกินไป โดยเฉพาะแสงสีในเมืองนั้น สามารถถ่ายภาพให้ดู สวยงามได้ง่ายๆ เพียงแต่มีกล้องที่ปรับความเร็วชัตเตอร์ต่ำได้ และหาวิธีป้องกันภาพสั่นไหวจากความเร็ว ชัตเตอร์ต่ำ หากถือกล้องด้วยมือ ภาพที่ได้จะเบลอไม่คมชัด วิธีที่ดีที่สุดคือใช้ขาตั้งกล้อง ซึ่งจะช่วยลดการ สั่นไหวได้เป็นอย่างดี หากความเร็วชัตเตอร์ต่ำมากๆ เช่น 1 วินาที หรือต่ำกว่านั้น ไม่ควรใช้นิ้วกดปุ่ม ชัตเตอร์โดยตรง เพราะเพียงกดชัตเตอร์เบาๆ ก็อาจเกิดการสั่นไหวจนส่งผลให้ภาพที่ได้ขาดความคมชัด ควรใช้สายลั่นชัตเตอร์ แต่ถ้าไม่มีก็ใช้ระบบถ่ายภาพหน่วงเวลาก็ได้ กล้องบางรุ่นเลือกหน่วงเวลาช่วงสั้นๆ เช่น 2 หรือ 3 วินาที ทำให้ถ่ายภาพได้โดยไม่ต้องรอคอยนานเกินไป สำหรับกล้องดิจิตอลเมื่อมีสิ่งรองรับ กล้องที่มั่นคง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความไวแสงสูงๆ ควรปรับ ISO ไปที่ต่ำสุด เพื่อให้ภาพที่ได้มี Noise น้อยที่สุดหรือไม่มีเลย
การถ่ายภาพตอนกลางคืนวัตถุที่ถูกถ่ายก็คือต้นกำเนิดแสงตามท้องถนน
เช่นไฟของรถยนต์ ไฟข้างถนน ไฟจากหน้าต่างของตึกรามบ้านช่องจึงไม่มีการจัดแสงเหมือนตอนถ่ายภาพตอนกลางวัน แต่ก็ควรจัดองค์ ประกอบให้ตำแหน่งดวงไฟต่าง ๆ อยู่ในกรอบของภาพอย่างน่าดู การตั้งหน้ากล้องในการถ่ายภาพตอน กลางคืน ไม่เหมือนตอนกลางวันที่มีค่าถูกต้องเพียงค่าเดียว ค่าการฉายแสงเมื่อถ่ายภาพตอนกลางคืน ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากจะแสดงอะไรในภาพถ่าย สุดท้ายถ้าต้องการถ่ายภาพพลุหรือดอกไม้ไฟควรตั้งกล้อง บนสามขา ใช้สายลั่นไกชัตเตอร์ ถ้าถ่ายภาพพลุให้โฟกัสภาพที่ไกลสุดแล้วเปิดหน้ากล้องประมาณ f/8 ใช้เวลา 2-3 วินาทีเป็นต้น ถ้าต้องการจะถ่ายภาพให้เห็นดวงประทีปโคมไฟบนท้องถนนในขณะมี่งาน เฉลิมฉลอง เช่นคืนวันเฉลิมพระชนมพรรษาก็อาจจะเปิดหน้ากล้อง f/16 เวลา 1/2 วินาที ก็อาจจะถ่ายภาพ ติดโดยใช้ฟิล์มความไวสูงแต่ถ้าเปิดหน้ากล้องนาน 4 วินาที ก็จะมีเส้นแสงเนื่องจากไฟหน้ารถยนต์ปรากฏเพิ่มเติม ในภาพดูงามตา ในการถ่ายภาพทิวทัศน์ตอนกลางคืนอาจใช้เส้นแสงในแนวทะแยงนำไปสู่จุดสำคัญในภาพ และถ้า ถ่ายให้เห็นแสงสะท้อนในน้ำด้วย ก็จะช่วยให้ภาพดูน่าสนใจยิ่งขึ้น สำหรับการถ่ายภาพตอนกลางคืนที่มีการแสดง ดนตรี ท่านควรเลือกใช้ฟิล์มที่มีความไวแสงสูงเช่น 400 หรือ 1000 ไอเอสโอ เลือกใช้เลนส์ที่มี f/2.8 ก็จะสามารถถ่ายภาพโดยใช้มือถือได้โดยไม่ควรใช้แฟลต เพราะแสงแฟลชจะไปทำลายบรรยากาศและแสงสีภายใน ห้องแสดง เป็นต้น ตัวอย่างภาพการแสดงดนตรีภายในห้องที่มีแสงไฟอบอุ่น
การถ่ายภาพในเวลากลางคืนนั้นต้องมีอุปกรณ์ที่จำเป็นดังนี้
1. กล้องถ่ายภาพชนิดที่มีความเร็วชัตเตอร์ B หรือ T
2. ขาตั้งกล้อง
3. สายไกชัตเตอร์
4. นาฬิกาจับเวลา
5. ไฟฉายดวงเล็ก ๆ
6. สมุดบันทึกสำหรับจดรายละเอียด เช่น เวลาในการเปิดหน้ากล้อง
วิธีการถ่ายภาพ
1. ติดตั้งกล้องกับขาตั้งกล้องให้มั่นคง พร้อมติดตั้งสายลั่นชัตเตอร์ให้พร้อม
2. ส่องกล้องหาทิศทางในการถ่ายภาพ ให้ได้มุมที่เหมาะที่สุด
3. คาดคะเน สภาพแสงเพื่อกำหนดเวลา และรูรับแสง (โดยปกติถ้าเป็นไฟตามถนนปกติ จะใช้ประมาณ 5.6หรือ 8)
4. ตั้งความเร็วชัตเตอร์ที่ B ลั่นชัตเตอร์ค้างไว้ให้รถวิ่งผ่านจนเป็นที่พอใจ ประมาณ 10 -60 วินาที หรือถ้าทิ้งช่วงเวลานาน ใช้ผ้าดำคลุมหน้าเลนส์ไว้ก่อนก็ได้
การถ่ายภาพไฟกลางคืน ควรถ่ายเผื่อหลาย ๆ ภาพ โดยใช้เวลาในการบันทึกภาพ และขนาดรูรับแสงต่าง ๆ กัน และจดบันทึกไว้จะดีที่สุด และควรฝึกหัดเป็นประจำเพราะต้องอาศัยความชำนาญอย่างสูงในการถ่ายภาพประเภทนี้
การถ่ายภาพกลางคืน จะใช้โหมดที่ทำให้ การเปิดรับแสงของหน้ากล้อง ช้าลงกว่าเดิม หรือไปเพิ่มส่วน ของความไวแสงของตัวรับแสงให้มากขึ้น ดังนั้นเมื่อเราลอง ปรับการถ่ายรูปมาโหมด ถ่ายกลางคืน จะสังเกต ว่า ภาพที่ อยู่ในจอ จะเคลื่อนไหวเหมือนภาพสโลว์เวลาเราเลื่อนกล้องไประหว่างการเล็งถ่ายภาพ
ดังนั้น ภาพที่ อยู่หน้ากล้อง เวลาที่ถ่ายโหมดกลางคืน ถ้าเป็นวัตถุที่มีการเคลื่อนไหว ก็ จะเกิดเป็น เส้น ของการเคลื่อนไหว เช่น ถ่ายรูปรถที่กำลังวิ่ง อยู่ตอนกลางคืนด้วย โหมด ถ่ายกลางคืน ไฟหน้า ไฟท้าย จะเป็นเส้น ยาวๆ หรือในทางกลับกัน หาก วัตถุที่เราจะ ถ่ายในโหมดกลางคืน ไม่ได้มีการเคลื่อนไหว แต่ มือเรา ดันเคลื่อนไหวตัวกล้อง ซะเอง ขณะกด ชัตเตอร์ผลก็คือภาพ จะเป็นเส้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นหลักการถ่ายภาพกลางคืนโดยการใช้โหมดกลางคืนนั้น มีวิธีการดังนี้
1. การปรับ เอ๊กส์โพส ควรปรับ ให้ โอเวอร์ ประมาณ +0.3 ขึ้นไป จน ถึง
1.2 โดย ยิ่งปรับ โอเวอร์มาเท่าไหร่ มือ ต้อง ยิ่งนิ่งขึ้นไปเท่านั้น ถ้าต้องปรับเอ๊กส์โพส เยอะมากๆ ควรใช้ ขาตั้งกล้อง หรือ ที่วาง สำหรับ ถ่ายภาพน่าเหมาะสมกว่า
2. แนะนำให้เลือก อุณหภูมิสี แบบ แสงนีออน
3. ขณะเล็งจะถ่ายรูป พยายามดู ว่า สังเกต เห็น Noise ในหน้าจอหรือไม่ เพราะถ้าเห็น ในขณะ ถ่าย เมื่อนำภาพที่ถ่ายลง คอมพิวเตอร์ ภาพที่ถ่ายมานั้นจะยิ่งมี Noise มากขึ้นอีก
4. สิ่งที่บ่งชี้ได้ ง่ายๆ เลย เรื่อง Noise มากหรือน้อย หาก ถ่ายโหมดกลาง คืน แล้ว เวลากด เล็งโฟกัส หาก สามารถ โฟกัสได้เร็ว โดยที่ เราก็ปรับ เอ๊กส์โพส ไว้เยอะ นั่น หมายถึง รูปนั้น จะ คมชัด และมี Noise ไม่มาก ต่างกับรูปที่เราต้อง ใช้เวลา หาโฟกัส อัตโนมัตินานๆ
5. ข้อ สำคัญ เมื่อกด ชัตเตอร์ลงไป แล้ว ควรจะ นิ่ง อยู่ สัก 1 วินาที ก่อน เปลี่ยน ตำแหน่งกล้อง
6. และสุดท้าย ถ้าไม่มีขาตั้งกล้อง สิ่งที่สำคัญนั้นคือมือต้องนิ่งมากๆ เอา แบบว่าตอนกดชัตเตอร์หยุด หายใจเลยได้ ยิ่งดี
วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554
หลักการถ่ายภาพทิวทัศน์
การเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นสิ่งปราถนาและชื่นชอบของมนุษย์แทบทุกคน การท่องเที่ยวทำให้เราได้พบเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย ความสวยงาม ความน่าอัศจรรน์ทำให้เรารู้สึกเบิกบานใจ มีความสุขสดชื่น เป็นการเติมพลังให้กับชีวิตก็ว่าได้ เมื่อมีการท่องเที่ยว กล้องถ่ายภาพก็เป็นสิ่งคู่กัน สำหรับบันทึกภาพความประทับใจในสิ่งที่ได้พบเห็น การถ่ายภาพทิวทัศน์ให้ดูสวยงาม ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อมีความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์ที่เพียงพอ คุณเองก็สามารถถ่ายภาพทิวทัศน์ให้ดูสวยงามได้ดุจเดียวกับช่างภาพมืออาชีพ
อันดับแรก มาว่ากันเรื่อง กล้องถ่ายภาพและอุปกรณ์เสียก่อน กล้องถ่ายภาพทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นฟิล์มหรือดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นคอมแพคหรือ SLR หากรู้วิธีใช้งานอย่างถูกต้อง แต่มีพื้นฐานการถ่ายภาพที่ดีพอ คุณจะสามารถใช้กล้องที่มีอยู่ แต่บันทึกภาพทิวทัศน์ให้สวยงามได้ไม่ยาก แต่ขอแนะนำให้ใช้กล้อง SLR เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูง ตอบสนองความต้องการในการถ่ายภาพทิวทัศน์ได้ดีกว่ากล้องคอมแพค อาทิ มีอุปกรณ์เสริมเช่น เลนส์มุมกว้างพิเศษ ที่ช่วยให้เก็บภาพได้กว้างไกลเท่าที่ใจต้องการ หรือมีฟิลเตอร์สร้างสรรค์ภาพให้เลือกใช้หลายอย่าง เป็นต้น
การถ่ายภาพทิวทัศน์ให้ดูสวยงามไม่จำเป็นต้องใช้กล้องโปรหากเป็นกล้องฟิล์ม แต่สำหรับกล้องดิจิตอล SLR คุณภาพของไฟล์ ขนาดไฟล์ และการบันทึกรายละเอียดต่างๆ กล้องรุ่นโปรย่อมทำได้ดีกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ขนาดไฟล์ที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ขยายภาพขนาดใหญ่ได้ดีกว่า แต่อย่าลืมว่าบรรดากล้องโปรเหล่านั้น นอกจากมีราคาสูงแล้ว ยังมีขนาดใหญ่ และน้ำหนักมาก เป็นภาระในการนำติดตัวเดินทางท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ
อุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็นในการถ่ายภาพที่ผมต้องขอแนะนำเช่น ฟิลเตอร์ C-PL หรือโพราไรซ์ ฟิลเตอร์ชนิดนี้จะมีสองชั้น ทางด้านหน้าจะปรับหมุนได้ เมื่อสวมฟิลเตอร์ที่หน้าเลนส์ ปรับหมุนฟิลเตอร์ แล้วดูผลในช่องมองภาพ คุณจะเห็นว่า บริเวณที่เป็นแสงสะท้อนจากวัตถุที่ไม่ใช่โลหะ เช่น ไม้ ก้อนหิน ใบไม้ กระจก หรืออื่นๆ แสงสะท้อนจะหายไป ทำให้ภาพที่ได้มีสีสันอิ่มตัวและสวยงามมากขึ้นทันที (แต่จะไม่ได้ผลหากไม่มีแสงสะท้อนที่วัตถุ) หากใช้ฟิลเตอร์ C-PL กับการถ่ายภาพทิวทัศน์ที่มีท้องฟ้าสีฟ้า จะทำให้ท้องฟ้ามีสีเข้มขึ้น หรือภาพวิวทะเล แสงสะท้อนที่ผิวน้ำทะเลจะลดลง ทำให้ทะเลมีสีสันที่สวยงามมากขึ้น ข้อเสียของฟิลเตอร์ C-PL คือ ปริมาณแสงจะลดลง 2 สตอป ส่งผลให้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำลง หรือต้องเปิดรูรับแสงกว้างขึ้น รวมทั้งคุณภาพจะลดลงบ้างขึ้นอยู่กับคุณภาพและการเคลือบผิวที่ฟิลเตอร์ ส่วนฟิลเตอร์อื่นๆ ที่จำเป็นเช่น ฟิลเตอร์ ND สำหรับลดลง เพื่อให้ได้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ สำหรับถ่ายภาพบางอย่างเช่น ภาพน้ำตก ที่ต้องการความเร็วชัตเตอร์ต่ำ เป็นต้น หรือ ฟิลเตอร์กราดูเอท ส่วนบนสีเทาหรือสีอื่นๆ ส่วนล่างใสไม่มีสี ช่วยลดแสงส่วนที่เป็นท้องฟ้า ทำให้ภาพมีค่าแสงเฉลี่ยใกล้เคียงกันระหว่างส่วนบนและส่วนล่าง เหมาะสำหรับถ่ายภาพในสภาพแสงที่แตกต่างกันมาก เช่น ภาพทิวทัศน์ขณะพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก หากต้องการถ่ายภาพฟอร์แมท RAW และกล้องมีความละเอียดสูง คุณอาจจะจำเป็นต้องใช้เมมโมรี่การ์ดที่มีความจุสูง หรืออุปกรณ์สำรองไฟล์ภาพ ที่มีฮาร์ดดิสก์ความจุสูงเช่น 160 หรือ 250 GB และอย่าลืมแบตเตอรี่สำรอง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะถ่ายภาพได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่หมด ส่วนกระเป๋ากล้อง ควรเลือกชนิดที่ตัดเย็บ อย่างดี ทนทาน ที่สำคัญคือกันน้ำได้ ถ้าเป็นแบบเป้สะพายหลังก็จะสะดวกคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
อันดับแรก มาว่ากันเรื่อง กล้องถ่ายภาพและอุปกรณ์เสียก่อน กล้องถ่ายภาพทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นฟิล์มหรือดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นคอมแพคหรือ SLR หากรู้วิธีใช้งานอย่างถูกต้อง แต่มีพื้นฐานการถ่ายภาพที่ดีพอ คุณจะสามารถใช้กล้องที่มีอยู่ แต่บันทึกภาพทิวทัศน์ให้สวยงามได้ไม่ยาก แต่ขอแนะนำให้ใช้กล้อง SLR เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูง ตอบสนองความต้องการในการถ่ายภาพทิวทัศน์ได้ดีกว่ากล้องคอมแพค อาทิ มีอุปกรณ์เสริมเช่น เลนส์มุมกว้างพิเศษ ที่ช่วยให้เก็บภาพได้กว้างไกลเท่าที่ใจต้องการ หรือมีฟิลเตอร์สร้างสรรค์ภาพให้เลือกใช้หลายอย่าง เป็นต้น
การถ่ายภาพทิวทัศน์ให้ดูสวยงามไม่จำเป็นต้องใช้กล้องโปรหากเป็นกล้องฟิล์ม แต่สำหรับกล้องดิจิตอล SLR คุณภาพของไฟล์ ขนาดไฟล์ และการบันทึกรายละเอียดต่างๆ กล้องรุ่นโปรย่อมทำได้ดีกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ขนาดไฟล์ที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ขยายภาพขนาดใหญ่ได้ดีกว่า แต่อย่าลืมว่าบรรดากล้องโปรเหล่านั้น นอกจากมีราคาสูงแล้ว ยังมีขนาดใหญ่ และน้ำหนักมาก เป็นภาระในการนำติดตัวเดินทางท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ
เลนส์ การถ่ายภาพทิวทัศน์ที่กว้างไกล ส่วนใหญ่ต้องใช้เลนส์ที่มีมุมรับภาพกว้างกว่าที่ตาของเรามองเห็น นั่นก็คือ เลนส์มุมกว้าง (ตาของมนุษย์มีมุมรับภาพเทียบเท่ากับเลนส์ขนาด 50 มม. ของกล้องฟิล์ม 35 มม. หรือกล้องที่ใช้เซ็นเซอร์ฟูลเฟรม) เช่น เลนส์มุมกว้าง 24 มม., 20 มม. ยิ่งกว้างมากเท่าไหร่ก็จะให้ภาพได้กว้างไกลมากขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้เลนส์มุมกว้างยังมีคุณสมบัติชัดลึก ได้ภาพที่คมชัดตั้งแต่ใกล้สุดไปถึงไกลสุด ยิ่งเลนส์มุมกว้างมากขึ้นเท่าไหร่ ระยะชัดลึกก็จะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ (เมื่อใช้รูรับแสงเท่ากัน) อย่างไรก็ตามเลนส์มุมกว้างจะทำให้วัตถุเหมือนอยู่ห่างไกลออกมากมากขึ้น ส่วนสิ่งที่อยู่ใกล้จะดูมีขนาดใหญ่กว่าความเป็นจริง พูดง่ายๆ คือ มิติของภาพต่างไปจากการมองเห็นด้วยตาเปล่า บางครั้งภาพที่ตามองเห็นว่าสวย อาจจะกลายเป็นภาพที่ไม่สวยก็เป็นได้ เพราะมิติภาพที่เปลี่ยนแปลงไป
บ่อยครั้งที่ตามองเห็นว่า ทิวทัศน์เบื้องหน้า ดูแล้วธรรมดาๆ ไม่น่าสนใจ กลับกลายเป็นภาพที่สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์เมื่อเปลี่ยนไปใช้เลนส์มุมกว้าง หากคุณมีประสบการณ์ในการใช้เลนส์มุมกว้างมากพอ โดยเฉพาะเลนส์มุมกว้างพิเศษอย่าง 14 มม. หรือเลนส์ตาปลาที่มีมุมรับภาพกว้างมากถึง 180 องศา คุณจะค้นหามุมมองที่ดูแปลกตาและน่าสนใจได้ไม่ยาก สิ่งที่พิเศษอีกประการหนึ่งของเลนส์มุมกว้างคือ ช่วยให้เราสามารถใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาพเบลอ เช่น เลนส์ 14 มม. สามารถใช้ความ เร็วชัตเตอร์ 1/15 วินาที ถ่ายภาพให้คมชัดได้โดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง แต่นั่นหมายถึงว่า คุณจะต้องเปิดรูรับแสงกว้างซึ่งจะทำให้ภาพที่ได้คุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร กรณีที่แสงน้อยแทนที่จะใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ และถือกล้องด้วยมือ ขอแนะนำให้ใช้รูรับแสงแคบเช่น f/11 แล้วใช้ขาตั้งกล้องช่วยลดการสั่นไหว ทำให้ได้ภาพที่คมชัดและคุณภาพที่ดีกว่า แต่ถ้าได้กล้องหรือเลนส์ที่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว คุณก็สามารถันทึกภาพได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องพกพาขาตั้งกล้องให้ลำบาก
การถ่ายภาพทิวทัศน์ ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องใช้เลนส์มุมกว้าง หากมองดูด้วยตาเปล่าแล้วเห็นว่า ทิวทัศน์นั้นสวยงาม มีมิติภาพใกล้ไกลที่ดูลง ตัวพอดี หากเป็นแบบนี้ขอแนะนำให้ใช้เลนส์มาตรฐาน 50 มม. หรือใกล้เคียง จะได้มิติภาพที่ใกล้กับการมองดูด้วยตาเปล่า แต่บ่อยครั้งที่ทิวทัศน์ดูไม่สวยเพราะมีฉากหน้าที่รกรุงรังเช่น มีต้นไม้ กิ่งไม้บดบังอยู่ หรือมีเสาไฟ สายไฟ อาคาร สิ่งก่อนสร้างอื่นๆ มีจุดที่สวยงามเพียงบางส่วนเท่านั้น กรณีเช่นนี้ จำเป็น ต้องใช้เลนส์เทเลโฟโต้ (ที่มีทางยาวโฟกัสมากกว่า 50 มม.) เพื่อเลือกถ่ายภาพเฉพาะบางส่วน ทำให้ได้ภาพที่ สวยงามได้เช่นกัน เลนส์ที่เหมาะสมคือซูม 70-200 มม. ส่วนเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสมาก โอกาสใช้จะน้อยมาก เพราะมุมรับภาพที่แคบมากนั่นเอง
ขาตั้งกล้อง เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการถ่ายภาพทิวทัศน์ ขาตั้งกล้องที่แข็งแรงมั่นคง จะรับประกันได้ว่า ภาพถ่ายทิวทัศน์ของคุณจะคมชัดแน่นอน หากขาตั้งไม่แข็งแรงเพียงพอเมื่อเทียบกับขนาดและน้ำหนักของตัวกล้อง จะทำให้ภาพขาดความคมชัดโดยเฉพาะเมื่อใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำๆ นอกจากนี้แม้ว่ากล้องจะอยู่บนขาตั้ง แต่การสั่นสะเทือนของกระจกสะท้อนภาพที่ดีดตัวขึ้นลงขณะกดชัตเตอร์บันทึกภาพ ก็ส่งผลให้ภาพขาดความคมชัดได้เช่นกัน จึงควรใช้ สายลั่นชัตเตอร์ ควบคู่กับการใช้ ขาตั้งกล้อง หากไม่มีสายลั่นชัตเตอร์ให้ใช้ระบบตั้งเวลาบันทึกภาพอัตโนมัติ ซึ่งกล้องหลายๆ รุ่น จะเลือกหน่วงเวลาบันทึกภาพ 2 วินาทีได้ ไม่จำเป็นต้องรอนาน 10 วินาทีเหมือนกับการตั้งเวลาเพื่อบันทึกภาพตนเอง และถ้าชัตเตอร์ต่ำมากเช่น 1/2 หรือ 1 วินาที การ ล็อคกระจกสะท้อนภาพ ก็มีส่วนช่วยให้ได้ภาพที่คมชัดเช่นกัน นอกจากนี้การตั้งกล้องบนขาตั้งยังช่วยให้มีสมาธิในการถ่ายภาพมากขึ้น ไม่ต้องกังวลกับเรื่องน้ำหนักกล้องที่ต้องถือด้วยมือตลอดเวลา และขาตั้งยังมีส่วนสำคัญอื่นๆ อีกหลายอย่างเช่น การจัดภาพไม่ให้ภาพเอียง หรือการถ่ายภาพแนวยาวแบบพาโนรามา เป็นต้น ในกรณีที่ไม่สะดวกในการใช้ขาตั้งกล้องแบบ 3 ขา คุณอาจจะเลือกใช้ขาตั้งเดี่ยว หรือโมโนพอดก็ได้ อย่างน้อยก็ทำให้การถ่ายภาพด้วยความ เร็วชัตเตอร์ต่ำๆ ได้ความคมชัดดีกว่าการถือกล้องถ่ายภาพด้วยมือเปล่า
อุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็นในการถ่ายภาพที่ผมต้องขอแนะนำเช่น ฟิลเตอร์ C-PL หรือโพราไรซ์ ฟิลเตอร์ชนิดนี้จะมีสองชั้น ทางด้านหน้าจะปรับหมุนได้ เมื่อสวมฟิลเตอร์ที่หน้าเลนส์ ปรับหมุนฟิลเตอร์ แล้วดูผลในช่องมองภาพ คุณจะเห็นว่า บริเวณที่เป็นแสงสะท้อนจากวัตถุที่ไม่ใช่โลหะ เช่น ไม้ ก้อนหิน ใบไม้ กระจก หรืออื่นๆ แสงสะท้อนจะหายไป ทำให้ภาพที่ได้มีสีสันอิ่มตัวและสวยงามมากขึ้นทันที (แต่จะไม่ได้ผลหากไม่มีแสงสะท้อนที่วัตถุ) หากใช้ฟิลเตอร์ C-PL กับการถ่ายภาพทิวทัศน์ที่มีท้องฟ้าสีฟ้า จะทำให้ท้องฟ้ามีสีเข้มขึ้น หรือภาพวิวทะเล แสงสะท้อนที่ผิวน้ำทะเลจะลดลง ทำให้ทะเลมีสีสันที่สวยงามมากขึ้น ข้อเสียของฟิลเตอร์ C-PL คือ ปริมาณแสงจะลดลง 2 สตอป ส่งผลให้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำลง หรือต้องเปิดรูรับแสงกว้างขึ้น รวมทั้งคุณภาพจะลดลงบ้างขึ้นอยู่กับคุณภาพและการเคลือบผิวที่ฟิลเตอร์ ส่วนฟิลเตอร์อื่นๆ ที่จำเป็นเช่น ฟิลเตอร์ ND สำหรับลดลง เพื่อให้ได้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ สำหรับถ่ายภาพบางอย่างเช่น ภาพน้ำตก ที่ต้องการความเร็วชัตเตอร์ต่ำ เป็นต้น หรือ ฟิลเตอร์กราดูเอท ส่วนบนสีเทาหรือสีอื่นๆ ส่วนล่างใสไม่มีสี ช่วยลดแสงส่วนที่เป็นท้องฟ้า ทำให้ภาพมีค่าแสงเฉลี่ยใกล้เคียงกันระหว่างส่วนบนและส่วนล่าง เหมาะสำหรับถ่ายภาพในสภาพแสงที่แตกต่างกันมาก เช่น ภาพทิวทัศน์ขณะพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก หากต้องการถ่ายภาพฟอร์แมท RAW และกล้องมีความละเอียดสูง คุณอาจจะจำเป็นต้องใช้เมมโมรี่การ์ดที่มีความจุสูง หรืออุปกรณ์สำรองไฟล์ภาพ ที่มีฮาร์ดดิสก์ความจุสูงเช่น 160 หรือ 250 GB และอย่าลืมแบตเตอรี่สำรอง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะถ่ายภาพได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่หมด ส่วนกระเป๋ากล้อง ควรเลือกชนิดที่ตัดเย็บ อย่างดี ทนทาน ที่สำคัญคือกันน้ำได้ ถ้าเป็นแบบเป้สะพายหลังก็จะสะดวกคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
เทคนิคการวัดแสง เทคนิคการถ่ายภาพทิวทัศน์ไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแต่ต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเสริมเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามและสมบูรณ์ สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือ เรื่องการวัดแสง ทำอย่างไรให้ภาพได้รับปริมาณแสงที่พอดี ไม่มาก และไม่น้อยเกินไป โดยทั่วไปต้องการให้ภาพมีความสว่างและชัดเจนใกล้เคียงกับการมองดูด้วยตาเปล่า แต่ในสภาพแสงและสภาพแวดล้อมบางอย่าง จำเป็นต้องวัดแสงให้สว่างหรือมืดกว่าค่าแสงที่กล้องระบุไว้ เรียกว่า การชดเชยแสง เช่น การถ่ายภาพทิวทัศน์ชายทะเลที่มีชายหาดสีขาว ถ่ายภาพทิวทัศน์ทะเลหมอกจากยอดดอย หรือภาพย้อนแสงขณะพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก เป็นต้น ซึ่งเทคนิคการถ่ายภาพทิวทัศน์เหล่านี้จะได้กล่าวถึงต่อไป ลำดับต่อมาคือ การควบคุมระยะชัดลึก ตั้งแต่สิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด ไปจนถึงไกลสุด (อินฟินิตี้) โดยสิ่งที่มีผลเกี่ยวกับระยะชัดลึกคือ รูรับแสง หากเปิดรูรับแสงกว้าง เช่น f/2.8 หรือ f/4 ระยะชัดลึกก็จะน้อย แต่ถ้าเปิดรูรับแสงแคบ เช่น f/16 หรือ f/22 ระยะชัดลึกก็จะเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทางยาวโฟกัสของเลนส์ด้วยตามที่ได้กล่าวไปแล้วในเรื่องของเลนส์
หากใช้เลนส์มุมกว้างมากๆ เช่น 14 หรือ 18 มม. ไม่จำเป็นต้องใช้รูรับแสงแคบสุดของเลนส์ การใช้รูรับแสง f/11 หรือ f/16 ก็จะได้ระยะชัดลึกตั้งแต่ใกล้สุดเพียง 1-2 เมตร ไปจนถึงไกลสุด อย่าลืมว่า ยิ่งใช้รูรับแสงแคบมากเท่าใด ความ เร็วชัตเตอร์ก็จะลดต่ำลง ตามลำดับ และความเร็วชัตเตอร์ต่ำก็อาจจะส่งผลในเรื่องของความคมชัดได้ อีกประการหนึ่งคือ เลนส์ส่วนใหญ่ คุณภาพความคมชัดจะดีที่สุด เมื่อใช้ รูรับแสงกลางๆ เช่น f/8 หรือ f/11 การใช้รูรับแสงแคบสุด แม้ว่าจะได้ระยะชัดลึกมาก แต่ความคมชัดก็จะลดลงตามไปด้วย จึงควรใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เช่น ใช้รูรับแสง f/11 แล้วปรากฏว่าภาพคมชัดตั้งแต่ไกลสุดจนถึงใกล้สุดประมาณ 5 เมตร สิ่งที่อยู่ใกล้มากกว่านั้นไม่คมชัด แบบนี้ต้องปรับรูรับแสงให้เล็กลงอีก 1 สตอป เป็น f/16 แล้วลองถ่ายภาพตรวจสอบระยะชัดลึกของภาพใหม่ มีเคล็ดลับง่ายๆ อย่างหนึ่งในการควบคุมระยะชัดลึกคือ ให้เลือกจุดโฟกัสตรงกลางระหว่างวัตถุที่อยู่ใกล้สุดจนถึงไกลสุด เนื่องจากระยะชัดลึกจะเพิ่มขึ้นมาทางด้านหน้าและไปทางด้านหลังจากจุดโฟกัสนั่นเอง
ภาพทิวทัศน์จะดูสวยงามได้ จำเป็นต้องอาศัยการจัดองค์ประกอบภาพ ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมาก การมองดูด้วยตาเปล่าเราจะเห็นทิวทัศน์ที่กว้างไกล แต่เมื่อปรากฏเป็นภาพถ่าย จากเห็นเฉพาะส่วนที่เราเลือกเอาไว้เท่านั้น อาจจะเป็นมุมภาพจากเลนส์มุมกว้าง เลนส์มาตรฐาน หรือเลนส์เทเลโฟโต้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของภาพที่ต้องการ อย่างไรก็ตามการจัดองค์ประกอบภาพให้ดูสวยงาม มีหลักการพื้นฐานที่คุณจำเป็นต้องทราบ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการถ่ายภาพต่อไป
จุดตัดเก้าช่อง นี่คือหลักพื้นฐานเบื้องต้นในการจัดองค์ประกอบภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด หรือภาพถ่าย ล้วนอาศัยหลักเดียวกันนี้ในการจัดองค์ประกอบภาพ สำหรับการวางจุดเด่นหรือจุดสำคัญที่ต้องการสื่อให้เห็น หากเป็นนักถ่ายภาพมือใหม่มักจะเลือกวางตำแหน่งของจุดเด่นไว้กลางภาพ เช่น ถ่ายภาพต้นไม้หนึ่งต้น ก็จะให้ต้นไม้อยู่กลางภาพ ภาพในลักษณะนี้จะดูน่าสนใจเพียงชั่วครู่เท่านั้น หากต้อง การให้ภาพน่าสนใจและดูได้นานๆ ควรอาศัยหลักจุดตัดเก้าช่อง โดยแบ่งภาพแนวตั้งและแนวนอนออกเป็น 9 ส่วน จุดที่เส้นตัดกันซึ่งมีอยู่ 4 จุด คือ ตำแหน่งที่เหมาะสมในการจุดวางจุดเด่น โดยมีองค์ประกอบอื่นๆ เข้ามาเสริม
บทสุดท้าย การถ่ายภาพภาพทิวทัศน์นอกจากต้องมีความรู้ ความเข้า ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว การหมั่นฝึกฝนอยู่เป็นประจำ การชมภาพบ่อยๆ ไม่ว่าจากหนังสือ หรือทางอินเตอร์เน็ต จะเป็นการเพิ่มพูนทักษะในการถ่ายภาพทิวทัศน์ของคุณให้ดียิ่งขึ้นจนสามารถถ่ายภาพให้ดูสวยงามได้เช่นเดียวกับช่างภาพมือโปร
จุดตัดเก้าช่อง นี่คือหลักพื้นฐานเบื้องต้นในการจัดองค์ประกอบภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด หรือภาพถ่าย ล้วนอาศัยหลักเดียวกันนี้ในการจัดองค์ประกอบภาพ สำหรับการวางจุดเด่นหรือจุดสำคัญที่ต้องการสื่อให้เห็น หากเป็นนักถ่ายภาพมือใหม่มักจะเลือกวางตำแหน่งของจุดเด่นไว้กลางภาพ เช่น ถ่ายภาพต้นไม้หนึ่งต้น ก็จะให้ต้นไม้อยู่กลางภาพ ภาพในลักษณะนี้จะดูน่าสนใจเพียงชั่วครู่เท่านั้น หากต้อง การให้ภาพน่าสนใจและดูได้นานๆ ควรอาศัยหลักจุดตัดเก้าช่อง โดยแบ่งภาพแนวตั้งและแนวนอนออกเป็น 9 ส่วน จุดที่เส้นตัดกันซึ่งมีอยู่ 4 จุด คือ ตำแหน่งที่เหมาะสมในการจุดวางจุดเด่น โดยมีองค์ประกอบอื่นๆ เข้ามาเสริม
บทสุดท้าย การถ่ายภาพภาพทิวทัศน์นอกจากต้องมีความรู้ ความเข้า ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว การหมั่นฝึกฝนอยู่เป็นประจำ การชมภาพบ่อยๆ ไม่ว่าจากหนังสือ หรือทางอินเตอร์เน็ต จะเป็นการเพิ่มพูนทักษะในการถ่ายภาพทิวทัศน์ของคุณให้ดียิ่งขึ้นจนสามารถถ่ายภาพให้ดูสวยงามได้เช่นเดียวกับช่างภาพมือโปร
หลักการถ่ายภาพบุคคล
ถ่ายภาพย้อนแสง
หลายครั้งเราอาจเคยได้ยินว่าการถ่ายภาพย้อนแสงนั้นจะให้ให้ตัวแบบหน้าดำและได้ภาพที่ไม่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้วการถ่ายภาพบุคคลย้อนแสงนั้นมีสิ่งที่ซ่อนอยู่ โดยเราจะได้ประกายของเส้นผมเกิดขึ้นจากการถ่ายภาพย้อนแสง ซึ่งสิ่งที่เราเองทำการแก้ไขคือการทำไม่ให้ตัวแบบเรานั้นหน้าดำซึ่งวิธีแก้นั้นจะมีอยู่ 3 วิธีด้วยกันได้แก่1. ใช้การวัดแสงแบบเฉพาะจุดวัดแสงที่บริเวณแก้มของตัวแบบ ( วิธีการนี้อาจทำให้ฉากหลังว่างเกินไป)2. ใช้แฟลชช่วยเติมแสงบริเวณใบหน้า3. ใช้ Reflex ในการเติมแสงบริเวณใบหน้า ( วิธีนี้จะให้แสงที่นุ่มและมีมิติมากกว่าการใช้แฟลชธรรมดา แต่ต้องมีคนช่วยถือให้)จากสามวิธีการข้างต้นนั้นจะทำให้เราสามารถถ่ายภาพย้อนแสงโดยมีประกายที่เส้นผมได้ โดยที่ไม่ทำให้ตัวแบบของเราหน้าดำอีกต่อไป วิธีการนี้ไม่ยากและนำไปปรับใช้กับสถานะการณ์ต่างๆได้ไม่ยากครับ
หลายครั้งเราอาจเคยได้ยินว่าการถ่ายภาพย้อนแสงนั้นจะให้ให้ตัวแบบหน้าดำและได้ภาพที่ไม่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้วการถ่ายภาพบุคคลย้อนแสงนั้นมีสิ่งที่ซ่อนอยู่ โดยเราจะได้ประกายของเส้นผมเกิดขึ้นจากการถ่ายภาพย้อนแสง ซึ่งสิ่งที่เราเองทำการแก้ไขคือการทำไม่ให้ตัวแบบเรานั้นหน้าดำซึ่งวิธีแก้นั้นจะมีอยู่ 3 วิธีด้วยกันได้แก่1. ใช้การวัดแสงแบบเฉพาะจุดวัดแสงที่บริเวณแก้มของตัวแบบ ( วิธีการนี้อาจทำให้ฉากหลังว่างเกินไป)2. ใช้แฟลชช่วยเติมแสงบริเวณใบหน้า3. ใช้ Reflex ในการเติมแสงบริเวณใบหน้า ( วิธีนี้จะให้แสงที่นุ่มและมีมิติมากกว่าการใช้แฟลชธรรมดา แต่ต้องมีคนช่วยถือให้)จากสามวิธีการข้างต้นนั้นจะทำให้เราสามารถถ่ายภาพย้อนแสงโดยมีประกายที่เส้นผมได้ โดยที่ไม่ทำให้ตัวแบบของเราหน้าดำอีกต่อไป วิธีการนี้ไม่ยากและนำไปปรับใช้กับสถานะการณ์ต่างๆได้ไม่ยากครับ
Window light
การควบคุมทิศทางแสงนั้นถือเป็นเทคนิคสำคัญอย่างหนึ่งของการถ่ายภาพบุคคลให้มีความแตกต่าง ในสถานะการณ์ต่างๆนั้นก็จะมีสภาพแสงที่แตกต่างกันไป ซึ่งเราต้องหาให้เจอว่าจะใช้งานแต่ละสภาพแสงนั้นๆอย่างไร หนึ่งเทคนิคที่สามารถใช้งานได้ง่ายคือการใช้งานแสงที่เข้ามาเพียงด้านเดียว ซึ่งจะเรียกว่า Window light เทคนิคนี้ใช้งานไม่ยากและสร้างความแตกต่างในภาพได้ดี เราสามารถใช้เทคนิคนี้ได้โดยการหาสถานที่ที่มีแสงเข้ามาด้านเดียว เช่นด้านข้างหน้าต่าง ประตู หรือว่าช่องกำแพงก็ได้ ขอให้เป็นสถานที่ๆสามารรถบีบให้แสงเข้ามาจากด้านเดียวได้ แล้วจัดให้แสงเข้ามาด้านข้างของตัวแบบ เท่านี้เราก็จะได้ภาพแสงที่แตกต่างจากปกติอยู่พอสมควรแล้วซึ่งเทคนิคนี้ไม่ยากจนเกินไปนัก อยู่ที่เราจะสามารถหาสภาพแสงในสถานที่นั้นๆได้หรือไม่ จากภาพตัวอย่างข้างล่างเป็นภาพที่ให้ตัวแบบยืนข้างๆช่องแสง เพื่อให้มีแสงเข้ามาทางด้านขวาของภาพเพียงด้านเดียว ทำให้ได้ภาพที่มีลักษณะแปลกตาและน่าค้นหามากขึ้น
ในการถ่ายภาพบุคคลบางอย่างเช่นภาพแนววิถีชีวิต แนวสารคดีหรือว่าแนวอื่นๆก็ตาม บางครั้งเราต้องถ่ายภาพเพื่อสื่อความเป็นตัวตนของคนๆนั้นออกมา มากกว่าการที่จะให้คนๆนั้นทำตาม Concept ที่เราวางเอาไว้ ซึ่งภาพแนวนี้เราต้องมองให้เห็นและดึงความเป็นตัวตนของเขาออกมา โดยปล่อยให้เขาเป็นในแบบที่เขาเป็น ซึ่งสำหรับภาพแนววิถีชีวิตหรือแนวสารคดีนั้น การเดินเข้าไปถ่ายตรงๆนั้นค่อนข้างจะเสียมารยาทและทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้บ่อย การที่คนมีกล้องมีสิทธิ์ที่จะถ่ายภาพนั้นคนถูกถ่ายก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ให้ถ่ายได้พอๆกัน เราควรที่จะเข้าไปพบปะพูดคุยกันเสียก่อนแสดงความเป็นมิตรกับผู้ที่เราจะถ่ายภาพเขา ถ้าหากว่าเราผูกมิตรกับเขาได้โอกาสที่จะได้ภาพสวยๆนั้นมีความเป็นไปได้สูงครับ บางครั้งเราอาจต้องพูดคุยไปถ่ายไปและคอยจับกริยาท่าทางของเขาและก็ค่อยๆถ่ายไป แน่นอนครับในหลายๆครั้งเราต้องรอจับจังหวะถ่ายเอาเอง เพราะการจะบอกให้เขาทำท่าตามที่เราต้องการนั้นบางครั้งจะทำให้เขาเกร็งได้ครับ อย่างภาพตัวอย่างนี้ผมถ่ายภาพ “แป๊ะหลี” ซึ่งเป็นพ่อค้าขายกาแฟคนดังแห่งตลาดคลองสวนครับ ก็ต้องอาศัยเข้าไปนั่งพูดคุยกันอยู่สักพักถึงจะได้รูปดีๆมาครับ
เพราะว่าการถ่ายภาพ Portrait นั้นช่างภาพไม่ได้ทำงานคนเดียวเหมือนกับการถ่ายภาพแนวอื่นเช่นการถ่ายภาพทิวทัศน์ การถ่ายภาพบุคคลนั้นจึงเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ถ่ายและตัวแบบ ซึ่งต้องมีการสื่อสารพูดคุยกันว่าอย่างได้อารมณ์และท่าทางแบบไหน ศิลปะในการสื่อสารจึงเป็นสิ่งสำคัญประการแรกเลย คืออย่าทำให้ตัวแบบเรามีความเครียดอย่างเด็ดขาด เพราะว่าจะทำให้ไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่เป็นธรรมชาติออกมาได้ พยายามบอกเล่าและสื่อสารกันให้เข้าใจให้ได้ ว่าท่านต้องการอารมณ์และท่าทางแบบไหน เมื่อสามารถสื่อสารได้ตรงกันแล้วเชื่อแน่นอนได้ว่า คุณจะได้อารมณ์ของภาพแบบที่คุณต้องการได้ไม่ยากนัก
หลักการสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการจัดองค์ประกอบภาพนั้นอย่าตัดกรอบภาพบริเวณข้อต่อ ซึ่งจะได้แก่ คอ ข้อศอก ข้อมือ เอว หัวเข่า ข้อเท้า เนื่องจากจะทำให้อารมณ์ภาพนั้นดูไม่ดี ความรู้สึกของคนดูภาพจะรู้สึกเหมือนว่าตัวแบบของเรานั้นแขนหรือขาขาดได้ การตัดกรอบภาพบริเวณแขนขาหรือลำตัวนั้นทำได้เพียงแต่เราต้องไม่ตัดบริเวณข้อต่อเท่านั้นเอง เนื่องจากข้อต่อต่างๆเป็นจุดเชื่อมต่อของร่างกายอยู่แล้ว การตัดบริเวณข้อต่อนั้นจะเป็นการเน้นย้ำความรู้สึกคนดูภาพว่าอวัยวะส่วนนั้นอาจขาดหายไปได้มากจนเกินไป การระวังไม่ตัดบริเวณข้อต่อจะทำให้ได้ภาพที่ดีกว่า
หลักการสำคัญข้อแรกของการถายภาพบุคคลคือการโฟกัสที่ดวงตา เนื่องจากดวงตานั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุดในภาพเนื่องจากเป็นสิ่งที่บ่งบอกและแสดงถึงอารมณ์ของภาพ ถ้าหากว่าเราไม่ได้โฟกัสที่ดวงตาและทำให้ตาไม่ชัดนั้นตัวแบบที่เราถ่ายจะดูเหมือนคนสุขภาพไม่ดีดูเหมือนคนป่วยทำให้ภาพขาดความน่าสนใจไปในทันที เหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการถ่ายภาพบุคคลนั้นเรามักจะใช้รูรับแสงที่กว้างซึ่งจะทำให้มีระยะชัดลึกที่น้อย ถึงแม้ว่าเราจะทำการโฟกัสที่ใบหน้าแล้วก็ตามแต่หลายครั้งเอาอาจพบกรณีที่จมูกชัดแต่ดวงตาไม่ชัดหรือบางครั้งเป็นแก้มหรือว่าใบหูชัดแต่ดวงตาไม่ชัดก็มี การโฟกัสที่ดวงตาให้ชัดนั้นบางครั้งบริเวณไหล่หรือว่าใบหูไม่ชัดก็จะยังสามารถเป็นภาพที่ดีได้ ดวงตานั้นเป็นหน้าต่างของหัวใจการโฟกัสดวงตาให้ชัดจึงสำคัญเป็นประการแรก
การถ่ายภาพบุคคลร่วมกับทิวทัศน์
ในหลายๆครั้งที่เราต้องถ่ายภาพบุคคลร่วมกับฉากหลังโดยที่เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับทั้งสองอย่างเช่น การไปถ่ายรูปในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆหรือการถ่ายรูปกับสถานที่สำคัญ เรามักพบว่าโดยทั่วไปมักจะวางตัวแบบไว้ตรงกลางภาพซึ่งในหลายครั้งตัวแบบของเราจะไปบดบังภาพทิวทัศน์เบื้องหลัง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมีวิธีง่ายๆที่จะทำให้ทั้งสองสิ่งอยู่ร่วมกันได้ ใน Tips&Trick ฉบับที่แล้ว เราพูดถึงการวางจุดสนใจในภาพซึ่งเราสามารถนำหลักการนั้นมาใช้งานร่วมกับการถ่ายภาพบุคคลได้เช่นกัน โดยให้เราทำการวางคนไว้ด้านซ้ายหรือด้านขวาภาพตามกฎของจุดตัด 9 ช่อง (ดูรายละเอียดจุดตัด 9 ช่องได้ใน Tips ฉบับก่อน) จะทำให้สามารถเก็บภาพของทิวทัศน์เบื้องหลังและภาพของตัวแบบเอาไว้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ อีกวิธีการหนึ่งก็คือถ้าหากว่าเราต้องการถ่ายร่วมกับตึกหรือสิ่งที่มีลักษณะเป็นทรงตั้ง ให้เราจัดองค์ประกอบภาพเหมือนกับเป็นการถ่ายภาพคู่ก็ได้โดยให้จินตนาการว่าสถานที่นั้นๆเป็นคนอีกคนหนึ่ง ดังรูปที่สองด้านล่างที่เป็นคนถ่ายคู่กับโดมของธรรมศาสตร์
หลักการจัดองค์ประกอบภาพ
การจัดองค์ประกอบภาพเบื้องต้น
การถ่ายภาพนั้นไม่ใช่เพียงแค่การยกกล้องมากดถ่ายภาพเท่านั้น แต่มันยังมีเรื่องราวของศิลปะแฝงอยู่ภายในมากมายซึ่งแน่นอนอันดับแรกเราต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมกล้อง ควบคุมแสงสีต่างๆ ตลอดจนรวมไปถึงความไวชัตเตอร์และรูรับแสง แต่เพียงเท่านั้นยังไม่เพียงพอที่จะสร้างภาพถ่ายที่สวยงามได้ การควบคุมกล้องให้ได้อย่างใจนั้นเป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องเรียนรู้เป็นอันดับแรกและเมื่อเรามีความชำนาญที่มากพอแล้วนั้น ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมซึ่งไม่ว่าเราจะใช้กล้องแบบใดก็ตามจะเป็น Cybershot หรือว่า Alpha สิ่งนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่นำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้ตลอด สิ่งที่เรากำลังพูดถึงนั้นก็คือ “การจัดองค์ประกอบภาพ”
การถ่ายภาพนั้นไม่ใช่เพียงแค่การยกกล้องมากดถ่ายภาพเท่านั้น แต่มันยังมีเรื่องราวของศิลปะแฝงอยู่ภายในมากมายซึ่งแน่นอนอันดับแรกเราต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมกล้อง ควบคุมแสงสีต่างๆ ตลอดจนรวมไปถึงความไวชัตเตอร์และรูรับแสง แต่เพียงเท่านั้นยังไม่เพียงพอที่จะสร้างภาพถ่ายที่สวยงามได้ การควบคุมกล้องให้ได้อย่างใจนั้นเป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องเรียนรู้เป็นอันดับแรกและเมื่อเรามีความชำนาญที่มากพอแล้วนั้น ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมซึ่งไม่ว่าเราจะใช้กล้องแบบใดก็ตามจะเป็น Cybershot หรือว่า Alpha สิ่งนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่นำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้ตลอด สิ่งที่เรากำลังพูดถึงนั้นก็คือ “การจัดองค์ประกอบภาพ”
กฎสามส่วน
กฎนี้เป็นกฎง่ายๆของการจัดองค์ประกอบภาพสำหรบการถ่ายภาพ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วในการถ่ายภาพทิวทัศน์นั้นเรามักชอบที่จะวางเส้นขอบฟ้าเอาไว้ตรงกลางภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้วเรามีวิธีที่จะวางเส้นขอบฟ้าไว้ที่อื่นเพื่อที่จะทำให้ภาพนั้นน่าสนใจมากขึ้นได้ ซึ่งโดยหลักการแล้วนั้นให้เราทำการแบ่งพื้นที่ในภาพออกเป็นสามส่วน บน กลาง และด้านล่าง จากนั้นให้วางเส้นขอบฟ้าค่อนไปทางด้านบนหรือด้านล่างก็ได้ ให้ท้องฟ้ากินพื้นที่ 1 หรือ 2 ส่วนก็ได้แล้วแต่สถานะการณ์ ซึ่งเราจะได้ภาพลักษณะที่เป็นดินสองส่วนฟ้าหนึ่งส่วน หรือฟ้าสองส่วนดินหนึ่งส่วนก็ได้ ซึ่งจะทำให้ได้ภาพที่น่าสนใจกว่าการแบ่งภาพแบบครึ่งๆ
จุดตัด 9 ช่อง
สำหรับภาพที่มีจุดสนใจในภาพนั้น โดยปกติแล้วเรามักจะวางจุดสนใจกันเอาไว้กลางภาพ ซึ่งในหลายๆครั้งจุดสนใจนั้นจะถูกลดความน่าสนใจลงไปเนื่องจากโดยส่วนอื่นๆบริเวณรอบข้างดึงความสนใจไป เราสามารถแก้ปัญหานี้ได้โดยการใช้กฎที่เรียกว่า “จุดตัด 9 ช่อง” โดยให้ทำการแบ่งภาพทั้งหมดเป็น 9 ช่อง แล้วเลือกวางจุดสนใจในบริเวณที่เป็นจุดที่เส้นแบ่งนั้นตัดกันซึงจะมีทั้งหมด 4 จุดด้วยกัน การวางจุดสนใจในภาพไว้ในลักษณะนี้นั้นจะทำให้จุดสนใจในภาพนั้นน่าสนใจมากยิ่งขึ้นและเด่นชัดมากยิ่งขึ้นดังภาพด้านล่าง
เส้นนำสายตา
ในบางครั้งการวางจุดสนใจในภาพอาจไม่ได้วางตามจุดตัด 9 ช่องก็ได้ แต่เราจะมีวิธีอื่นที่สร้างให้จุดนั้นๆกลายเป็นจุดสนใจในภาพได้โดยการ ใช้เส้นนำสายตาซึ่งโดยปกติแล้วเมื่อมนุษย์เราเห็นเส้นอะไรสักอย่างมักจะมองตามไปเสมอ และการมองตามเส้นนั้นๆไปจะดึงให้สายตาของผู้มองนั้นมองตามไปจนเจอกับจุดสนใจในภาพที่เราวางไว้ เส้นนำสายตานั้นจะเป็นอะไรก็ได้ในภาพที่มีลักษณะเป็นเส้น เช่น ถนน ขอบรั้ว หรืออะไรก็ได้ไม่จำกัดขอให้มีลักษณะเป็นเส้น และให้เส้นเหล่านั้นชี้ไปยังจุดสนใจที่เราได้ทำการวางเอาไว้ จะทำให้จุดสนใจในภาพที่เราวางเอาไว้เด่นขึ้นมาในทันที
การเหลือพื้นที่
ในหลายๆครั้งนั้นเราจะพบปัญหาเกี่ยวกับพื้นทีส่วนอื่นๆในภาพว่าเราควรจะเหลือส่วนไหนอย่างไรดี หลักการนี้ก็เป็นหลักการง่ายๆโดยให้เราทำการเหลือพื้นที่ด้านเดียวกับจุดสนใจในภาพเพื่อให้คนดูภาพไม่รู้สึกอึดอัด เช่นถ้าหากหน้าคน รถ หรือว่าอะไรก็ตามหันไปทางไหนให้เราเหลือพื้นที่บริเวณนั้นเอาไว้ เพื่อให้ผู้ชมภาพไม่รู้สึกอึดอัดและยังเหลือที่ว่างให้คิดหรือจินตนาการต่อได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป หลักการนี้เป็นหลักการง่ายๆที่ทำให้ผู้ชมภาพไม่รู้สึกอึดอัด แต่ถ้าหากภาพนั้นต้องการสื่อถึงอารมณ์ให้รู้สึกอึดอัดก็ไม่จำเป็นต้องเหลือพื้นที่ก็ได้ แล้วแต่ว่าเราต้องการบอกอะไรคนดู
ใส่กรอบให้กับภาพ
หลักการนี้เป็นหลักการสร้างจุดสนใจให้กับภาพอีกอย่างหนึ่ง โดยให้เราหารอบประตูหน้าต่าง หรืออะไรก็ได้ที่มีลักษณะเป็นกรอบอาจจะสองด้านหรือว่าสี่ด้านก็ได้ แล้วจากนั้นก็นำจุดสนใจในภาพไปใส่ไว้ในกรอบนั้นๆ ผู้ชมภาพจะถูกบีบด้วยกรอบที่ซ้อนอยู่ในภาพให้มองไปยังจุดสนใจที่เราวางเอาไว้ ซึ่งจะเป็นการทำให้ภาพดูน่าสนใจมากขึ้นอีกทางหนึ่งได้
ทุกๆอย่างที่กล่าวไปนั้นเป็นแนวทางเบื้องต้นในการสร้างสรรค์ภาพถ่ายให้น่าสนใจมากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องทำตามเสมอไปก็ได้ ถ่ายในสิ่งที่คุณอยากถ่ายเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่คุณอยากบอกขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการบอกเล่าอะไร แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเจอปัญหาว่าจะถ่ายอย่างไรดีจะจัดองค์ประกอบภาพอย่างไรดี พวกกฎเกณฑ์ของการถ่ายภาพเบื้องต้นเหล่านี้จะช่วยคุณได้ส่วนหนึ่งในการเป็นแนวทางของการถ่ายภาพ แต่เหนืออื่นใดการถ่ายภาพนั้นขึ้นอยู่กับ “มุมมอง” ของคุณว่าคุณมองเห็นอะไรและอยากบอกเล่าอะไร ขอให้มีความสุขกับการถ่ายภาพครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)