Powered By Blogger

ค้นหาบล็อกนี้

คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับ blog นี้???

วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

หลักการถ่ายภาพทิวทัศน์

การเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นสิ่งปราถนาและชื่นชอบของมนุษย์แทบทุกคน การท่องเที่ยวทำให้เราได้พบเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย ความสวยงาม ความน่าอัศจรรน์ทำให้เรารู้สึกเบิกบานใจ มีความสุขสดชื่น เป็นการเติมพลังให้กับชีวิตก็ว่าได้ เมื่อมีการท่องเที่ยว กล้องถ่ายภาพก็เป็นสิ่งคู่กัน สำหรับบันทึกภาพความประทับใจในสิ่งที่ได้พบเห็น การถ่ายภาพทิวทัศน์ให้ดูสวยงาม ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อมีความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์ที่เพียงพอ คุณเองก็สามารถถ่ายภาพทิวทัศน์ให้ดูสวยงามได้ดุจเดียวกับช่างภาพมืออาชีพ

อันดับแรก มาว่ากันเรื่อง กล้องถ่ายภาพและอุปกรณ์เสียก่อน กล้องถ่ายภาพทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นฟิล์มหรือดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นคอมแพคหรือ SLR หากรู้วิธีใช้งานอย่างถูกต้อง แต่มีพื้นฐานการถ่ายภาพที่ดีพอ คุณจะสามารถใช้กล้องที่มีอยู่ แต่บันทึกภาพทิวทัศน์ให้สวยงามได้ไม่ยาก แต่ขอแนะนำให้ใช้กล้อง SLR เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูง ตอบสนองความต้องการในการถ่ายภาพทิวทัศน์ได้ดีกว่ากล้องคอมแพค อาทิ มีอุปกรณ์เสริมเช่น เลนส์มุมกว้างพิเศษ ที่ช่วยให้เก็บภาพได้กว้างไกลเท่าที่ใจต้องการ หรือมีฟิลเตอร์สร้างสรรค์ภาพให้เลือกใช้หลายอย่าง เป็นต้น
การถ่ายภาพทิวทัศน์ให้ดูสวยงามไม่จำเป็นต้องใช้กล้องโปรหากเป็นกล้องฟิล์ม แต่สำหรับกล้องดิจิตอล SLR คุณภาพของไฟล์ ขนาดไฟล์ และการบันทึกรายละเอียดต่างๆ กล้องรุ่นโปรย่อมทำได้ดีกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ขนาดไฟล์ที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ขยายภาพขนาดใหญ่ได้ดีกว่า แต่อย่าลืมว่าบรรดากล้องโปรเหล่านั้น นอกจากมีราคาสูงแล้ว ยังมีขนาดใหญ่ และน้ำหนักมาก เป็นภาระในการนำติดตัวเดินทางท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ



เลนส์ การถ่ายภาพทิวทัศน์ที่กว้างไกล ส่วนใหญ่ต้องใช้เลนส์ที่มีมุมรับภาพกว้างกว่าที่ตาของเรามองเห็น นั่นก็คือ เลนส์มุมกว้าง (ตาของมนุษย์มีมุมรับภาพเทียบเท่ากับเลนส์ขนาด 50 มม. ของกล้องฟิล์ม 35 มม. หรือกล้องที่ใช้เซ็นเซอร์ฟูลเฟรม) เช่น เลนส์มุมกว้าง 24 มม., 20 มม. ยิ่งกว้างมากเท่าไหร่ก็จะให้ภาพได้กว้างไกลมากขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้เลนส์มุมกว้างยังมีคุณสมบัติชัดลึก ได้ภาพที่คมชัดตั้งแต่ใกล้สุดไปถึงไกลสุด ยิ่งเลนส์มุมกว้างมากขึ้นเท่าไหร่ ระยะชัดลึกก็จะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ (เมื่อใช้รูรับแสงเท่ากัน) อย่างไรก็ตามเลนส์มุมกว้างจะทำให้วัตถุเหมือนอยู่ห่างไกลออกมากมากขึ้น ส่วนสิ่งที่อยู่ใกล้จะดูมีขนาดใหญ่กว่าความเป็นจริง พูดง่ายๆ คือ มิติของภาพต่างไปจากการมองเห็นด้วยตาเปล่า บางครั้งภาพที่ตามองเห็นว่าสวย อาจจะกลายเป็นภาพที่ไม่สวยก็เป็นได้ เพราะมิติภาพที่เปลี่ยนแปลงไป

บ่อยครั้งที่ตามองเห็นว่า ทิวทัศน์เบื้องหน้า ดูแล้วธรรมดาๆ ไม่น่าสนใจ กลับกลายเป็นภาพที่สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์เมื่อเปลี่ยนไปใช้เลนส์มุมกว้าง หากคุณมีประสบการณ์ในการใช้เลนส์มุมกว้างมากพอ โดยเฉพาะเลนส์มุมกว้างพิเศษอย่าง 14 มม. หรือเลนส์ตาปลาที่มีมุมรับภาพกว้างมากถึง 180 องศา คุณจะค้นหามุมมองที่ดูแปลกตาและน่าสนใจได้ไม่ยาก สิ่งที่พิเศษอีกประการหนึ่งของเลนส์มุมกว้างคือ ช่วยให้เราสามารถใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาพเบลอ เช่น เลนส์ 14 มม. สามารถใช้ความ เร็วชัตเตอร์ 1/15 วินาที ถ่ายภาพให้คมชัดได้โดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง แต่นั่นหมายถึงว่า คุณจะต้องเปิดรูรับแสงกว้างซึ่งจะทำให้ภาพที่ได้คุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร กรณีที่แสงน้อยแทนที่จะใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ และถือกล้องด้วยมือ ขอแนะนำให้ใช้รูรับแสงแคบเช่น f/11 แล้วใช้ขาตั้งกล้องช่วยลดการสั่นไหว ทำให้ได้ภาพที่คมชัดและคุณภาพที่ดีกว่า แต่ถ้าได้กล้องหรือเลนส์ที่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว คุณก็สามารถันทึกภาพได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องพกพาขาตั้งกล้องให้ลำบาก

การถ่ายภาพทิวทัศน์ ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องใช้เลนส์มุมกว้าง หากมองดูด้วยตาเปล่าแล้วเห็นว่า ทิวทัศน์นั้นสวยงาม มีมิติภาพใกล้ไกลที่ดูลง ตัวพอดี หากเป็นแบบนี้ขอแนะนำให้ใช้เลนส์มาตรฐาน 50 มม. หรือใกล้เคียง จะได้มิติภาพที่ใกล้กับการมองดูด้วยตาเปล่า แต่บ่อยครั้งที่ทิวทัศน์ดูไม่สวยเพราะมีฉากหน้าที่รกรุงรังเช่น มีต้นไม้ กิ่งไม้บดบังอยู่ หรือมีเสาไฟ สายไฟ อาคาร สิ่งก่อนสร้างอื่นๆ มีจุดที่สวยงามเพียงบางส่วนเท่านั้น กรณีเช่นนี้ จำเป็น ต้องใช้เลนส์เทเลโฟโต้ (ที่มีทางยาวโฟกัสมากกว่า 50 มม.) เพื่อเลือกถ่ายภาพเฉพาะบางส่วน ทำให้ได้ภาพที่ สวยงามได้เช่นกัน เลนส์ที่เหมาะสมคือซูม 70-200 มม. ส่วนเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสมาก โอกาสใช้จะน้อยมาก เพราะมุมรับภาพที่แคบมากนั่นเอง

ขาตั้งกล้อง เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการถ่ายภาพทิวทัศน์ ขาตั้งกล้องที่แข็งแรงมั่นคง จะรับประกันได้ว่า ภาพถ่ายทิวทัศน์ของคุณจะคมชัดแน่นอน หากขาตั้งไม่แข็งแรงเพียงพอเมื่อเทียบกับขนาดและน้ำหนักของตัวกล้อง จะทำให้ภาพขาดความคมชัดโดยเฉพาะเมื่อใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำๆ นอกจากนี้แม้ว่ากล้องจะอยู่บนขาตั้ง แต่การสั่นสะเทือนของกระจกสะท้อนภาพที่ดีดตัวขึ้นลงขณะกดชัตเตอร์บันทึกภาพ ก็ส่งผลให้ภาพขาดความคมชัดได้เช่นกัน จึงควรใช้ สายลั่นชัตเตอร์ ควบคู่กับการใช้ ขาตั้งกล้อง หากไม่มีสายลั่นชัตเตอร์ให้ใช้ระบบตั้งเวลาบันทึกภาพอัตโนมัติ ซึ่งกล้องหลายๆ รุ่น จะเลือกหน่วงเวลาบันทึกภาพ 2 วินาทีได้ ไม่จำเป็นต้องรอนาน 10 วินาทีเหมือนกับการตั้งเวลาเพื่อบันทึกภาพตนเอง และถ้าชัตเตอร์ต่ำมากเช่น 1/2 หรือ 1 วินาที การ ล็อคกระจกสะท้อนภาพ ก็มีส่วนช่วยให้ได้ภาพที่คมชัดเช่นกัน นอกจากนี้การตั้งกล้องบนขาตั้งยังช่วยให้มีสมาธิในการถ่ายภาพมากขึ้น ไม่ต้องกังวลกับเรื่องน้ำหนักกล้องที่ต้องถือด้วยมือตลอดเวลา และขาตั้งยังมีส่วนสำคัญอื่นๆ อีกหลายอย่างเช่น การจัดภาพไม่ให้ภาพเอียง หรือการถ่ายภาพแนวยาวแบบพาโนรามา เป็นต้น ในกรณีที่ไม่สะดวกในการใช้ขาตั้งกล้องแบบ 3 ขา คุณอาจจะเลือกใช้ขาตั้งเดี่ยว หรือโมโนพอดก็ได้ อย่างน้อยก็ทำให้การถ่ายภาพด้วยความ เร็วชัตเตอร์ต่ำๆ ได้ความคมชัดดีกว่าการถือกล้องถ่ายภาพด้วยมือเปล่า



อุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็นในการถ่ายภาพที่ผมต้องขอแนะนำเช่น ฟิลเตอร์ C-PL หรือโพราไรซ์ ฟิลเตอร์ชนิดนี้จะมีสองชั้น ทางด้านหน้าจะปรับหมุนได้ เมื่อสวมฟิลเตอร์ที่หน้าเลนส์ ปรับหมุนฟิลเตอร์ แล้วดูผลในช่องมองภาพ คุณจะเห็นว่า บริเวณที่เป็นแสงสะท้อนจากวัตถุที่ไม่ใช่โลหะ เช่น ไม้ ก้อนหิน ใบไม้ กระจก หรืออื่นๆ แสงสะท้อนจะหายไป ทำให้ภาพที่ได้มีสีสันอิ่มตัวและสวยงามมากขึ้นทันที (แต่จะไม่ได้ผลหากไม่มีแสงสะท้อนที่วัตถุ) หากใช้ฟิลเตอร์ C-PL กับการถ่ายภาพทิวทัศน์ที่มีท้องฟ้าสีฟ้า จะทำให้ท้องฟ้ามีสีเข้มขึ้น หรือภาพวิวทะเล แสงสะท้อนที่ผิวน้ำทะเลจะลดลง ทำให้ทะเลมีสีสันที่สวยงามมากขึ้น ข้อเสียของฟิลเตอร์ C-PL คือ ปริมาณแสงจะลดลง 2 สตอป ส่งผลให้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำลง หรือต้องเปิดรูรับแสงกว้างขึ้น รวมทั้งคุณภาพจะลดลงบ้างขึ้นอยู่กับคุณภาพและการเคลือบผิวที่ฟิลเตอร์ ส่วนฟิลเตอร์อื่นๆ ที่จำเป็นเช่น ฟิลเตอร์ ND สำหรับลดลง เพื่อให้ได้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ สำหรับถ่ายภาพบางอย่างเช่น ภาพน้ำตก ที่ต้องการความเร็วชัตเตอร์ต่ำ เป็นต้น หรือ ฟิลเตอร์กราดูเอท ส่วนบนสีเทาหรือสีอื่นๆ ส่วนล่างใสไม่มีสี ช่วยลดแสงส่วนที่เป็นท้องฟ้า ทำให้ภาพมีค่าแสงเฉลี่ยใกล้เคียงกันระหว่างส่วนบนและส่วนล่าง เหมาะสำหรับถ่ายภาพในสภาพแสงที่แตกต่างกันมาก เช่น ภาพทิวทัศน์ขณะพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก หากต้องการถ่ายภาพฟอร์แมท RAW และกล้องมีความละเอียดสูง คุณอาจจะจำเป็นต้องใช้เมมโมรี่การ์ดที่มีความจุสูง หรืออุปกรณ์สำรองไฟล์ภาพ ที่มีฮาร์ดดิสก์ความจุสูงเช่น 160 หรือ 250 GB และอย่าลืมแบตเตอรี่สำรอง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะถ่ายภาพได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่หมด ส่วนกระเป๋ากล้อง ควรเลือกชนิดที่ตัดเย็บ อย่างดี ทนทาน ที่สำคัญคือกันน้ำได้ ถ้าเป็นแบบเป้สะพายหลังก็จะสะดวกคล่องตัวมากยิ่งขึ้น



เทคนิคการวัดแสง เทคนิคการถ่ายภาพทิวทัศน์ไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแต่ต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเสริมเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามและสมบูรณ์ สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือ เรื่องการวัดแสง ทำอย่างไรให้ภาพได้รับปริมาณแสงที่พอดี ไม่มาก และไม่น้อยเกินไป โดยทั่วไปต้องการให้ภาพมีความสว่างและชัดเจนใกล้เคียงกับการมองดูด้วยตาเปล่า แต่ในสภาพแสงและสภาพแวดล้อมบางอย่าง จำเป็นต้องวัดแสงให้สว่างหรือมืดกว่าค่าแสงที่กล้องระบุไว้ เรียกว่า การชดเชยแสง เช่น การถ่ายภาพทิวทัศน์ชายทะเลที่มีชายหาดสีขาว ถ่ายภาพทิวทัศน์ทะเลหมอกจากยอดดอย หรือภาพย้อนแสงขณะพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก เป็นต้น ซึ่งเทคนิคการถ่ายภาพทิวทัศน์เหล่านี้จะได้กล่าวถึงต่อไป ลำดับต่อมาคือ การควบคุมระยะชัดลึก ตั้งแต่สิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด ไปจนถึงไกลสุด (อินฟินิตี้) โดยสิ่งที่มีผลเกี่ยวกับระยะชัดลึกคือ รูรับแสง หากเปิดรูรับแสงกว้าง เช่น f/2.8 หรือ f/4 ระยะชัดลึกก็จะน้อย แต่ถ้าเปิดรูรับแสงแคบ เช่น f/16 หรือ f/22 ระยะชัดลึกก็จะเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทางยาวโฟกัสของเลนส์ด้วยตามที่ได้กล่าวไปแล้วในเรื่องของเลนส์



หากใช้เลนส์มุมกว้างมากๆ เช่น 14 หรือ 18 มม. ไม่จำเป็นต้องใช้รูรับแสงแคบสุดของเลนส์ การใช้รูรับแสง f/11 หรือ f/16 ก็จะได้ระยะชัดลึกตั้งแต่ใกล้สุดเพียง 1-2 เมตร ไปจนถึงไกลสุด อย่าลืมว่า ยิ่งใช้รูรับแสงแคบมากเท่าใด ความ เร็วชัตเตอร์ก็จะลดต่ำลง ตามลำดับ และความเร็วชัตเตอร์ต่ำก็อาจจะส่งผลในเรื่องของความคมชัดได้ อีกประการหนึ่งคือ เลนส์ส่วนใหญ่ คุณภาพความคมชัดจะดีที่สุด เมื่อใช้ รูรับแสงกลางๆ เช่น f/8 หรือ f/11 การใช้รูรับแสงแคบสุด แม้ว่าจะได้ระยะชัดลึกมาก แต่ความคมชัดก็จะลดลงตามไปด้วย จึงควรใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เช่น ใช้รูรับแสง f/11 แล้วปรากฏว่าภาพคมชัดตั้งแต่ไกลสุดจนถึงใกล้สุดประมาณ 5 เมตร สิ่งที่อยู่ใกล้มากกว่านั้นไม่คมชัด แบบนี้ต้องปรับรูรับแสงให้เล็กลงอีก 1 สตอป เป็น f/16 แล้วลองถ่ายภาพตรวจสอบระยะชัดลึกของภาพใหม่ มีเคล็ดลับง่ายๆ อย่างหนึ่งในการควบคุมระยะชัดลึกคือ ให้เลือกจุดโฟกัสตรงกลางระหว่างวัตถุที่อยู่ใกล้สุดจนถึงไกลสุด เนื่องจากระยะชัดลึกจะเพิ่มขึ้นมาทางด้านหน้าและไปทางด้านหลังจากจุดโฟกัสนั่นเอง





จัดองค์ประกอบภาพ



ภาพทิวทัศน์จะดูสวยงามได้ จำเป็นต้องอาศัยการจัดองค์ประกอบภาพ ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมาก การมองดูด้วยตาเปล่าเราจะเห็นทิวทัศน์ที่กว้างไกล แต่เมื่อปรากฏเป็นภาพถ่าย จากเห็นเฉพาะส่วนที่เราเลือกเอาไว้เท่านั้น อาจจะเป็นมุมภาพจากเลนส์มุมกว้าง เลนส์มาตรฐาน หรือเลนส์เทเลโฟโต้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของภาพที่ต้องการ อย่างไรก็ตามการจัดองค์ประกอบภาพให้ดูสวยงาม มีหลักการพื้นฐานที่คุณจำเป็นต้องทราบ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการถ่ายภาพต่อไป
จุดตัดเก้าช่อง นี่คือหลักพื้นฐานเบื้องต้นในการจัดองค์ประกอบภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด หรือภาพถ่าย ล้วนอาศัยหลักเดียวกันนี้ในการจัดองค์ประกอบภาพ สำหรับการวางจุดเด่นหรือจุดสำคัญที่ต้องการสื่อให้เห็น หากเป็นนักถ่ายภาพมือใหม่มักจะเลือกวางตำแหน่งของจุดเด่นไว้กลางภาพ เช่น ถ่ายภาพต้นไม้หนึ่งต้น ก็จะให้ต้นไม้อยู่กลางภาพ ภาพในลักษณะนี้จะดูน่าสนใจเพียงชั่วครู่เท่านั้น หากต้อง การให้ภาพน่าสนใจและดูได้นานๆ ควรอาศัยหลักจุดตัดเก้าช่อง โดยแบ่งภาพแนวตั้งและแนวนอนออกเป็น 9 ส่วน จุดที่เส้นตัดกันซึ่งมีอยู่ 4 จุด คือ ตำแหน่งที่เหมาะสมในการจุดวางจุดเด่น โดยมีองค์ประกอบอื่นๆ เข้ามาเสริม
บทสุดท้าย การถ่ายภาพภาพทิวทัศน์นอกจากต้องมีความรู้ ความเข้า ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว การหมั่นฝึกฝนอยู่เป็นประจำ การชมภาพบ่อยๆ ไม่ว่าจากหนังสือ หรือทางอินเตอร์เน็ต จะเป็นการเพิ่มพูนทักษะในการถ่ายภาพทิวทัศน์ของคุณให้ดียิ่งขึ้นจนสามารถถ่ายภาพให้ดูสวยงามได้เช่นเดียวกับช่างภาพมือโปร






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น